xs
xsm
sm
md
lg

แนะเก็บกองทุนตลาดพัฒนาแล้ว กูรูชี้แนวโน้มการเติบโตยังมีสูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักวิเคราะห์กองทุนรวม บล.ฟิลลิป แนะนักลงทุนทยอยเก็บกองทุนหุ้นตลาดพัฒนาแล้วเข้าพอร์ต โดยเฉพาะหากหุ้นมีการปรับฐาน พร้อมมองสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่ทั้งปีนี้และปีหน้า ชูกองทุน ASP-S&P500, KF-Europe, K-Europe และ SCB-NKY225 น่าลงทุน

 นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นของประเทศพัฒนาแล้วได้ปรับฐานลงมาในช่วงปลายเดือนที่แล้ว แต่การเติบโตของเศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐฯ นั้นยังคงมีแนวโน้มที่ดีอยู่ทั้งในปีนี้และปีหน้า รวมถึงยุโรป และญี่ปุ่น ดังนั้นเรายังคงคำแนะนำให้ทยอยสะสมกองทุนในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในช่วงนี้ได้ เช่น กองทุนหุ้นตามดัชนีของสหรัฐฯ S&P500คือ ASP-S&P500 และสะสมกองทุนหุ้นยุโรป เราแนะนำ KF-Europe และ K-Europe ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นเราแนะนำกองทุน SCB-NKY225
    
สำหรับหุ้นไทยยังมีความผันผวนอยู่มาก กรอบแนวรับในเดือนนี้อยู่บริเวณ 1,480-1,460 และแนวต้านแถวๆ 1,550 สำหรับในระยะยาวยังมีแนวโน้มที่ดี ดังนั้น เราแนะนำให้ทยอยซื้อด้วยวิธี DCA ซึ่งเป็นการเฉลี่ยซื้อกองทุนด้วยจำนวนเงินที่เท่าๆ กันในแต่ละเดือนเพื่อลดความเสี่ยงในระยะสั้น และเป็นการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว โดยกองทุนหุ้นที่เราแนะนำคือ ABSM และ KFSDIV สำหรับ LTF และ RMF ถ้าตลาดมีการปรับตัวลดลงอยู่ในแนวรับให้สะสมซื้อได้ ส่วนกองทุนแนะนำคือ KFLTFDIV และ ABSC-RMF
    
ในส่วนของการประชุมของ กนง.ในวันที่ 6 ส.ค.นี้เราคาดการณ์ว่าน่าจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมที่ 2.00% มากกว่าปรับลดลง ซึ่งแสดงถึงมุมมองที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจไทยในระยะนี้ และเป็นตัวชี้ว่าถ้าเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ยังคงทำได้ และต่างชาติก็ทยอยเข้ามาซื้อตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาวเพิ่มมากขึ้น ในช่วงนี้ทางเราแนะนำว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว และกองทุนตลาดเงินนั้นยังคงทำได้อยู่ กองทุนตลาดเงินที่แนะนำคือ P-CASH (บลจ.ฟิลลิป) และ FAM VF (บลจ.ฟินันซ่า) สำหรับกองทุนตราสารหนี้แนะนำคือ SMART (บลจ. MFC)
    
นายสานุพงศ์กล่าวต่อว่า ปัจจัยบวกของราคาน้ำมันในช่วงนี้เช่น เศรษฐกิจที่ดีของสหรัฐฯ และการสู้รบในภูมิภาคต่างๆ แต่ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นได้ แต่ปัจจัยลบต่างๆ กลับมีผลกระทบมากกว่า เนื่องจากปริมาณน้ำมันที่ผลิตออกมายังคงเพิ่มมากขึ้น จากการที่ลิเบียเจรจากับกลุ่มกบฏที่ปิดท่าเรือสำคัญได้ และเริ่มส่งออกน้ำมันในปริมาณใกล้เคียงที่เคยส่งออกได้ก่อนหน้าที่จะมีปัญหา
    
ดังนั้น ในช่วงเดือนนี้ราคาน้ำมันอาจจะมีแนวโน้มที่ลดลง เราจึงแนะนำพักการลงทุนในกองทุนน้ำมันไปก่อนจนกว่าจะเห็นแนวโน้มที่เป็นบวกชัดเจน ส่วนราคาทองคำยังถูกกดดันด้วยเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง รวมถึง QE ที่กำลังจะหมดไป ทำให้เราคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะปรับลดลงได้อีก เราแนะนำให้พักการลงทุนในทองคำไปก่อน
    
สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นก็เป็นไปตามคาดหมาย FED ได้ปรับ QE ลง โดยปรับลดลง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือนจากวงเงินเดิม 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน เนื่องจากตัวเลขการจ้างงานที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงอัตราการเติบโตของ GDP ในไตรมาส 2 ที่ออกมานั้นสูงกว่าที่หลายคนได้คาดการณ์ไว้เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น และยังได้แรงหนุนการที่ FED ได้ออกมาประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำต่อไปจนกว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าที่ FED ต้องการที่ 2% ซึ่งยังคงต้องติดตามต่อเนื่อง
    
ทางด้านเศรษฐกิจจีน รัฐบาลได้ทำการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากขึ้นเพื่อให้ตัวเลขการเติบโตของจีนถึงเป้าหมาย 7.5% ส่วนในยุโรปยังคงมีเรื่องปัจจัยลบเข้ามากระทบต่อตลาดหุ้นอยู่เป็นระยะ จากเหตุการณ์ในรัสเซียและยูเครน รวมถึงการคว่ำบาตรต่อรัสเซียด้วย ทำให้ตลาดหุ้นยุโรปยังผันผวนอยู่ แต่ระยะยาวแล้วเศรษฐกิจยุโรปยังคงปรับตัวดีขึ้นจากตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ออกมาเพิ่มสูงขึ้น และล่าสุดระดับเงินเฟ้อได้เริ่มเพิ่มสูงขึ้น หลังจากยุโรปเองอยู่ในภาวะเงินฝืดมานาน และมีความกังวลในเรื่องนี้มาโดยตลอด
    


กำลังโหลดความคิดเห็น