บลจ.เอ็มเอฟซีเล็งตั้งกองรีสต์ลุยลงทุนทั้งไทยและเทศ ชูคลังสินค้าในอังกฤษ และสำนักงานให้เช่าในออสเตรเลีย มั่นใจการเติบโตสูง ผลตอบแทนดี คาดอาจจะได้ไอพีโอในปีนี้
นายทอมมี่ เตชะอุบล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บลจ.กำลังอยู่ในช่วงขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) 3 กองทุนด้วยกัน โดยกองทุนแรกนั้นเราจะลงทุนในโรงแรมหรู 3-4 แห่ง โดยมีขนาดของกองทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ส่วนอีก 2 กองที่เหลือนั้นจะเป็นทรัพย์สินที่ไปลงทุนในต่างประเทศ
ทั้งนี้ กอง REITs ที่ไปลงทุนในต่างประเทศนั้นจะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทสำนักงาน หรือออฟฟิศ อยู่ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งขนาดของกองทุนอยู่ที่ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยเรามองว่าประเทศออสเตรเลียยังมีศักยภาพในการเติบโตสูง ขณะเดียวกันนโยบายของทางภาครัฐเองได้มีการออกกฎเกณฑ์เรื่องภาษีที่เอื้อให้นักลงทุนต่างชาติได้เข้ามาลงทุน ทำให้เรามองเห็นความน่าสนใจในการเข้าไปลงทุนในประเทศดังกล่าว ส่วนกอง REITs ที่จะไปลงทุนในต่างประเทศอีก 1 กองนั้นเราจะเลือกไปลงทุนในคลังสินค้าในเขตอุตสาหกรรมของประเทศอังกฤษ ซึ่งไม่ไกลจากตัวลอนดอนมากนัก โดยกองทุนดังกล่าวจะมีขนาดประมาณ 1,500 ล้านบาท
“ก่อนหน้านี้ บลจ.ได้เตรียมหาพาร์ตเนอร์ในต่างประเทศ หลังจากที่เราเริ่มได้ข่าวมาว่าจะมีการทำกองรีสต์ในไทย เราได้มีการจัดทำข้อมูลต่างๆ รวมถึงการเก็บข้อมูลลูกค้า ประเมินความเสี่ยงหลายๆ อย่าง ก่อนที่จะจัดตั้งกองทุน โดยเราคาดว่ากองทุนรีสต์นั้นจะสามารถจัดตั้งและเปิดขายกองทุนได้ในเร็วๆ นี้” นายทอมมี่กล่าว
สำหรับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ประเภท 1 ที่ยังเหลือเปิดขายไอพีโอภายใต้การบริหารจัดการของ บลจ.เอ็มเอฟซีมีเพียงอีก 1 กองทุน โดยขั้นตอนต่างๆ ในส่วนของ บลจ.นั้นเสร็จสิ้นแล้ว เหลือเพียงทางเจ้าของสินทรัพย์ที่ยังต้องมีการดำเนินการและปรับปรุงบางอย่างให้ตรงตามที่เกณฑ์กำหนดไว้ โดยสินทรัพย์ที่กองทุนจะไปลงทุนในโรงแรมนั้นคือโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต คาดว่าจะได้เปิดขายไอพีโอได้ในเร็วๆ นี้ ในส่วนของธุรกิจกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานนั้น ทาง บลจ.ก็สนใจที่จะจัดตั้ง ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการพูดคุยกับบริษัทเอกชนหลายแห่ง
ทางด้านนางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบัน บลจ.มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารจัดการ หรือ AUM ณ วันที่ 30 พ.ค. 57 อยู่ที่ 387,944.46 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 16.18% โดย ณ วันที่ 27 ธันวาคม 3556 เรามี AUM อยู่ที่ 333,905.65 ล้านบาท สำหรับการดำเนินธุรกิจในส่วนของกองทุนส่วนสำรองเลี้ยงชีพนั้น บลจ.มีมาร์เกตแชร์อันดับ 1 ของอุตสหกรรม โดยปัจจุบันเรามี AUM ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 138,212.07 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมา 35.30 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจกองทุนรวมนั้น บลจ.ก็มีการเติบโตด้วยเช่นกัน โดยเรามี AUM อยู่ที่ 212,954.08 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 7.88% ส่วนธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล AUM อยู่ที่ 36,778.31 เติบโตจากปีที่ผ่านมา 7.08
“ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นเป็นธุรกิจที่เราเติบโตมากที่สุด รองลงมาเป็นกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคล โดยเราตั้งเป้าจะทำการเปิดสาขาของ บลจ.เพิ่มอีก 2 สาขาในชลบุรี และโคราช ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นในปีหน้า การทำสาขานั้นเป็นอีกสิ่งที่ช่วยเพิ่มช่องทางการขายให้กับ บลจ. โดยที่ผ่านมาเรามีการเติบโตจากการขายด้วยตัวเองและสาขาของ บลจ.ถึง 95%” นางสาวประภากล่าว
