บลจ.ไทยพาณิชย์แนะนักลงทุนลงทุนในหุ้นให้มองยาว ชูหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนภาครัฐมาแรง ขณะที่ บลจ.วรรณฟันธงดัชนีหุ้นไทยในปีนี้แตะ 1,550 จุด หลังเศรษฐกิจฟื้นตัวดันเม็ดเงินลงทุนไหลเข้า ล่าสุดส่งกองทุนทริกเกอร์ตั้งเป้า 5% ภายใน 5 เดือน
นายสมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนที่ให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีและสม่ำเสมอควรมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทให้ผลตอบแทนที่ดีในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์และต้องมีวินัยในการลงทุน
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทยที่ส่วนใหญ่ลงทุนในตราสารหนี้เป็นส่วนมาก ขณะที่ต่างประเทศมีการลงทุนที่กระจายตัว และให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้น เพราะให้ผลตอบแทนที่สูงและชนะเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีความชัดเจนมากขึ้น ตลาดหุ้นเริ่มวิ่งรับสถานการณ์ดังกล่าวแต่ตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสที่สองอาจยังออกมาไม่ดีนัก ซึ่งเศรษฐกิจที่ดีจริงอาจเป็นในช่วงไตรมาสที่ 4 ถึงไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งต้องมองการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก
“หุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่น่าจะลงไปเยอะมากเพราะคนเริ่มมองไปถึงช่วงปีหน้าแล้ว หุ้นที่น่าสนใจเป็นหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนของภาครัฐ” นายสมิทธ์กล่าว
ทางด้านนายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ มองว่า ปัจจุบันดัชนี SET Index ยังมีโอกาสไปต่อได้ หลังจากที่ตลาดคลายความกังวลเรื่องการเมืองในประเทศและแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยที่น่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปเรียบร้อยแล้วในไตรมาสที่ 1/2557 และเริ่มเข้าสู่ภาวการณ์ฟื้นตัวที่ดีขึ้น ทั้งการใช้จ่ายภายในประเทศของภาคเอกชนและภาครัฐ หลังจากที่มีรัฐบาลเฉพาะกิจเข้ามาบริหารประเทศ รวมทั้งแนวโน้มการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจโลก และอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าลง
“ตลาดหุ้นไทยในเวลานี้ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในระยะถัดไป แม้ว่าในระยะสั้นอาจย่อตัวลงบ้างระหว่างทาง (Correction) จากแรงเทขายเพื่อทำกำไร หลังจากที่ดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงและเร็ว หลังจากมีตลาดคลายความกังวลเรื่องการเมืองและมีข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจน ก่อนที่จะมีทิศทางปรับตัวขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากมองว่าปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งและได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังเข้าสู่ภาวการณ์ฟื้นตัว”
โดยจะเห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือน เม.ย. 57 ที่ติดลบน้อยลง ประกอบกับแรงหนุนจากแผนการดำเนินงานกระตุ้นเศรษฐกิจของทาง คสช.ตาม Roadmap ที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะการเน้นการลงทุนในโครงสร้าง การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 ในส่วนที่เหลือ และการเร่งจัดทำงบประมาณประจำปี 2558 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จทันภายในเดือน ก.ย. 57 ก็น่าจะทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 ซึ่งจะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งภาคเอกชนและนักลงทุนต่างชาติกลับคืนมาได้ โดยในช่วงนี้จะเห็นได้ว่าเราเริ่มเห็นสัญญาณบวกของดัชนีความเชื่อมั่นต่างๆ ของภาคเอกชนที่ฟื้นตัวมากขึ้น ซึ่งบ่งชี้ได้ถึงโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ดี
“เรามองว่าในช่วงต้นปีถึงปัจจุบัน หากเทียบราคาหุ้นภายในกลุ่ม TIP Market คือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ด้วยกันนั้น ราคาหุ้นไทยยังคงมีระดับราคาหุ้นต่อกำไร (PE) ที่ค่อนข้างต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ โดยราคาหุ้นต่อกำไรในตลาดหุ้นไทยในปีนี้อยู่ที่ระดับ 11.4 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์อยู่ที่ระดับ 13.3 เท่า และ 19.4 เท่าตามลำดับ ซึ่งทำให้หุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ และเมื่อประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจไทยและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้มองว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาสดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติได้ดีกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ และผลักดันให้ดัชนี SET Index มีโอกาสปรับตัวแตะระดับ 1,550 จุดได้ภายในปีนี้”
นายวิน กล่าวต่อว่า เราคาดว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปีจะเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งไทยและเศรษฐกิจโลก และยังมีระดับราคาที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับราคาปัจจัยพื้นฐาน (Undervalue) ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากสินเชื่อที่มีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นหลังจากที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว และระดับราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ที่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและภาคธุรกิจที่กลับมาอีกครั้งหลังปัจจัยการเมืองค่อนข้างชัดเจน และกำลังซื้อประชาชนในประเทศที่ทยอยเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มักให้ผลตอบแทนที่ดีหลังจากที่เศรษฐกิจผ่านพ้นความกังวลเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ, กลุ่มส่งออก ทั้งอาหารและเกษตร รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์จากอานิสงส์ของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ตาม บลจ.กำลังอยู่ในช่วงเสนอขายกองทุนเปิด วรรณ สปอท 5/2 ฟันด์ (ONE-SPOT5/2) เพื่อจับจังหวะการลงทุนในช่วงที่ดัชนีฯ อาจมีการย่อตัวลงเพื่อปรับฐานและรองรับโอกาสการลงทุนในช่วงหุ้นขาขึ้นในระยะถัดไป โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ อาหารและเกษตร รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์ จากปัจจัยบวกข้างต้น ซึ่งกองทุนฯ นี้จะเสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหว่างวันที่ 17-30 มิ.ย. 57 โดยมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนระดับ 5% ภายใน 5 เดือน