โดย ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ
Dr.win@one-asset.com
สวัสดีครับ ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ปรับขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่การเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลายลง ซึ่งทำให้ตลาดเริ่มกลับมาชัดเจนมากขึ้นด้วยปริมาณการซื้อขายที่ค่อนข้างหนาแน่นเฉลี่ยประมาณ 51,000 ล้านบาทต่อวัน โดยเฉพาะแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยในประเทศเป็นหลัก ขณะที่แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มลดลง จนผลักให้ดัชนี SET Index ปรับตัวสูงขึ้นมาประมาณ 4.7% นับตั้งแต่วันที่ คสช.ประกาศรัฐประหารจนถึงปัจจุบัน
ในมุมมองของผมต่อตลาดหุ้นไทย ในระยะสั้นอาจย่อตัวลงบ้างระหว่างทาง (Correct) จากแรงเทขายเพื่อทำกำไร หลังจากที่ดัชนีฯ ปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรงและเร็วในช่วงที่ผ่านมา หลังตลาดคลายความกังวลเรื่องการเมืองและมีข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจน เนื่องจากปัจจัยบวกเกี่ยวกับมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจได้สะท้อนเข้าไปในราคาหลักทรัพย์บ้างแล้ว แต่คาดว่าในระยะถัดไปดัชนี SET Index ยังมีโอกาสไปต่อได้จากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่ง และคาดว่าจะผ่านจุดต่ำสุดและเริ่มมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นหลังจากหยุดชะงักในช่วงที่มีปัจจัยกดดันทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา
โดยจะเห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือน เม.ย. 57 ที่ติดลบน้อยลง ประกอบกับแรงหนุนจากแผนการดำเนินงานกระตุ้นเศรษฐกิจของทาง คสช.ตาม Roadmap ที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะการเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 ในส่วนที่เหลือ และการเร่งจัดทำงบประมาณประจำปี 2558 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จทันภายในเดือน ก.ย. 57 ก็น่าจะทำให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 ซึ่งจะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งภาคเอกชนและต่างชาติกลับคืนมาได้ โดยจะเห็นว่าในช่วงนี้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคเอกชนต่างๆ เริ่มฟื้นตัวได้ ซึ่งส่งสัญญาณว่าการใช้จ่ายภายในประเทศมีโอกาสทยอยดีขึ้นและบ่งชี้ถึงโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ดี
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามผลการดำเนินงานของแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้น กลาง ยาวของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายที่วางไว้ได้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสมดุลระหว่างนโยบายการเงิน การคลังกับเศรษฐกิจ และการรักษาวินัยการเงินและการคลัง ซึ่งหากปัจจัยดังกล่าวสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้ก็คาดว่าจะส่งเสริมให้มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศบางส่วนหลังจากที่ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยช่วงก่อนหน้า รวมทั้งการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางบางแห่ง เช่น ยูโรโซน และญี่ปุ่นที่พยายามผลักดันให้กองทุนบำนาญของญี่ปุ่นสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้มีกระแสเงินทุนที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน จากมูลค่าหุ้น หากเทียบกับราคาหุ้นภายในกลุ่ม TIP Market ด้วยกัน คือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จะเห็นว่าราคาหุ้นไทยยังมีระดับราคาหุ้นต่อกำไร (PE) ที่ต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ โดยราคาหุ้นต่อกำไรของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ 11.4 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์อยู่ที่ระดับ 13.3 และ 19.4 เท่า ตามลำดับ ทำให้หุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ
สำหรับอุตสาหกรรมที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งไทยและเศรษฐกิจโลก และยังมีระดับราคาที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับราคาปัจจัยพื้นฐาน (Undervalue) ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จากสินเชื่อที่มีแนวโน้มเร่งตัวสูงขึ้นหลังจากที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว และระดับราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ที่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ผ่านมา / กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและภาคธุรกิจที่กลับมาอีกครั้งหลังปัจจัยการเมืองค่อนข้างชัดเจน และกำลังซื้อประชาชนในประเทศที่ทยอยเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มักให้ผลตอบแทนที่ดีหลังจากที่เศรษฐกิจผ่านพ้นความกังวลเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ / กลุ่มส่งออก ทั้งอาหารและเกษตร รวมทั้งอิเล็กทรอนิกส์จากอานิสงส์ของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง