xs
xsm
sm
md
lg

หลบความเสี่ยงการเมือง กสิกรไทยออกบอนด์ชูยิลด์สูง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.กสิกรไทยออกกองบอนด์ต่างประเทศหลบความเสี่ยงจากการเมืองไทย ชูผลตอบแทน 2.75% เสนอขาย 3-9 มิ.ย. 57

นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในวันที่ 3-9 มิถุนายน 2557 บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี ซีเจ (KFF1YCJ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.75% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอ็กซ์ (KEFF6MX) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.60% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีเอ (KFI6MCA) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.50% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี

ด้านสถานการณ์การลงทุนนั้น มองว่านักลงทุนในประเทศเริ่มคลายความกังวลจากสถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งมีความมั่นใจต่อแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เตรียมหารือกับหน่วยงานทางเศรษฐกิจเพื่อกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ และการใช้จ่ายงบประมาณด้านการลงทุนของภาครัฐ ส่งผลให้ตลาดเกิดความเชื่อมั่นและคาดการณ์ว่าการบริโภคและการลงทุนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งน่าจะทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 สามารถขยายตัวได้มากกว่า 1% และส่งผลให้เศรษฐกิจของปี 2557 ขยายตัวได้กว่า 3% ต่อปี

โดยต้องจับตามองนโยบายด้านเศรษฐกิจอื่นๆ ของ คสช.อย่างต่อเนื่อง ว่าจะมีนโยบายส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด ด้านสถานการณ์ตลาดพันธบัตรอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น โดยผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 5 ปีปิดที่ 3.14% ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่พันธบัตรอายุ 10 ปีปิดที่ 3.77% เพิ่มขึ้น 0.17% โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์จากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ ก่อนจะทยอยปรับลดลงเล็กน้อยในปลายสัปดาห์จากแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศ กอปรกับแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่เริ่มชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม สำหรับพันธบัตรไทยคาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก บลจ.กสิกรไทยแนะนำให้ผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง อาทิ หุ้น และสามารถเลือกพักเงินกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ ซึ่งมีความเสี่ยงไม่สูงมากนักและให้โอกาสรับผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจได้

นายนาวินกล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอ็กซ์ (KEFF6MX) จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China ร่วมด้วยตราสารหนี้ Isbank, ประเทศตุรกี ตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Agricultural Bank of China โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท

อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนทั่วไปที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ภายในประเทศเพียงอย่างเดียว บลจ.กสิกรไทยขอแนะนำกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 6 เดือน ซีเอ (KFI6MCA) และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี ซีเจ (KFF1YCJ) โดยกองทุน KFI6MCA เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China และตราสารหนี้ Agricultural Bank of China นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ด้านกองทุน KFF1YCJ เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Bank of China และตราสารหนี้ Agricultural Bank of China ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ Bank of East Asia Ltd. และตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท

นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว บลจ.กสิกรไทยยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดียู (KPPTF3MDU) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารภายในประเทศ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.00% ต่อปี


กำลังโหลดความคิดเห็น