บลจ.กสิกรไทยคาด กนง.อาจปรับลดดอกเบี้ยหลังเศรษฐกิจชะลอ การเมืองกดดัน แนะล็อกเงินลงทุนเปิดขาย 4 กองทุนตราสารหนี้ใหม่ระหว่าง 11-17 มีนาคมนี้ เพิ่มทางเลือกลงทุนตั้งแต่ 3 เดือนถึง 1 ปี ชูผลตอบแทนสูงสุด 3.25% เน้นลงทุนตราสารหนี้ผสมทั้งไทย-เทศ
นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในวันที่ 11-17 มีนาคม 2557 นี้ บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีดี (KFI3MED) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.60% ต่อปี กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอแซท (KFF6MAZ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอ็น (KEFF6MN) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.10% ต่อปี และกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี ไอ (KEFF1YI) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.25% ต่อปี โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยอาจมีการปรับลดอีกครั้งในวันที่ 12 มีนาคมนี้ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั้งในด้านการลงทุน การบริโภค และการท่องเที่ยว โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ไม่เกิน 3% อันเป็นผลจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศที่กดดันความเชื่อมั่นของทุกฝ่าย
นอกจากนี้ ตัวเลขดุลการค้าของไทยในเดือนมกราคม 2557 ที่ผ่านมามียอดขาดดุลสูงถึง 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ และขาดดุลมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับในเดือนธันวาคม 2556 ซึ่งขาดดุล 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นผลจากการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ข้าว และยางพาราที่หดตัวลง 7.5%
ด้านสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ไทย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยปรับตัวลดลงทุกช่วงอายุ โดยอัตราผลตอบแทน 10 ปีมีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2557 จาก 3.90% ลดลงมาอยู่ที่ 3.80% จากกรณีความกังวลปัญหาทางการเมืองทำให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นและเข้าลงทุนในตลาดตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการคาดการณ์ว่า กนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ทำให้แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีโอกาสปรับตัวลดลง
นางสาวยุพาวดีกล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุน KEFF6MN จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝากของ Garanti Bank, ประเทศตุรกี เงินฝากของ Bank of China รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ Bank of East Asia ตราสารหนี้ Akbank T.A.S., ประเทศตุรกี และตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล ด้านกองทุน KEFF1YI จะลงทุนในเงินฝากของ Bank of China ตราสารหนี้ Bank of East Asia และตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล ด้วยเช่นเดียวกัน และยังลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และเงินฝาก China Construction Bank Corporation โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
ส่วนกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน อีดี (KFI3MED) และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอแซท (KFF6MAZ) โดยกองทุน KFI3MED เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝากของ China Construction Bank Corporation เงินฝากของ Bank of China และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ส่วนกองทุน KFF6MAZ จะลงทุนในเงินฝากของ Bank of China และเงินฝาก China Construction Bank Corporation ด้วยเช่นเดียวกัน และยังลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง ตราสารหนี้ Bank of East Asia และตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล โดยตราสารที่กล่าวมามีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) และกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน ทั้งนี้ สำหรับกองทุน KFI3MED และกองทุน KFF6MAZ ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท