บลจ.วรรณ บลจ.ธนชาต และ บลจ.กสิกรไทย ชวนนักลงทุนพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น 3-6 เดือน รอจังหวะก่อนเข้าลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.วรรณ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันยังคงมีแนวโน้มผันผวนจากปัจจัย ในประเทศเป็นหลัก คือ ปัญหาด้านการเมือง มีความรุนแรงขึ้นและมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศในระยะนี้แม้ยังไม่มีปัจจัยใหม่ เข้ามากระทบเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของทั้งสหรัฐฯ และจีนในไตรมาส 4/2556 ได้ประกาศออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่ปัจจัยที่ยังคงต้องติดตาม คือ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจีนในปี 2557 ที่ตัวเลขเดือนมกราคม 57 ที่ประกาศออกมาเริ่มอ่อนแอ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ต่อเนื่องเดือนละ 10,000 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมของ Fund flow ตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบว่า อัตราการไหลออกของกระแสเงินทุนเริ่มชะลอตัวลงแต่ก็ยังมีอยู่ ทั้งนี้ บลจ.วรรณ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ที่ระดับประมาณ 1,270-1,330 จุด โดยการปรับตัวของดัชนี SET Index ในระยะนี้อาจจะเป็นเพียงแรงซื้อเพื่อทำกำไรระยะสั้น ดังนั้นสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่รับความเสี่ยงได้ต่ำควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ คาดว่าหากปัจจัยกดดันด้านการเมืองมีข้อสรุปภายในครึ่งปีแรก และภาคการบริโภคและการลงทุนกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 57 SET Target ในปีนี้อาจปรับตัวถึงระดับ 1,360 จุด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ตลาดยังมีความผันผวนสูง สำหรับนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดหุ้น และสามารถพักเงินได้ประมาณ 3-6 เดือน บริษัทฯ แนะนำให้ลงทุนในกองทุนเปิด วรรณ ตราสารหนี้ 6M3 (1FIX-6M3) ที่ผลตอบแทนประมาณการณ์ 3.15% ต่อปี และกองทุนเปิดวรรณตราสารหนี้ 3M2 (1FIX-3M2) ที่ให้ผลตอแทนประมาณการณ์ 3.00% ต่อปี ซึ่งจะครบกำหนด Roll Over ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 7 มีนาคม 2557
ด้านนายสุรธีร์ กิตติวรวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บลจ.ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ปัญหาทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งจะเห็นได้ว่าปัญหาดังกล่าวมีความรุนแรงเกิดขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้น
ทั้งนี้ ในระหว่างที่สถานการณ์ทางการเมืองยังมีความไม่ชัดเจน และคาดว่าจะยืดเยื้อออกไป บลจ.ธนชาต เห็นว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำจะเป็นโอกาสในการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนที่แน่นอน โดย บลจ.ธนชาต ขอเสนอกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 6M53 (TFI6M53) อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณ 3.00% IPO วันนี้ถึง 4 มีนาคม 2557 และกองทุนเปิดธนชาต Fixed Income 3M6 (TFixedIncome3M6) อายุ 3 เดือน ให้ผลตอบแทนประมาณ 2.80% IPO วันนี้ถึง 5 มีนาคม 2557
น.ส.ยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ล่าสุดจากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปี 2556 ที่ผ่านมา สามารถขยายตัวอยู่ในระดับ 0.60% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ในปี 2556 ตลอดทั้งปี เศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้ 2.9% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย ซึ่งสถาบันจัดอันดับ Moody’s ยังคงให้มุมมองความน่าเชื่อถือของไทยอยู่ระดับเดิมที่ Baa1 พร้อมมีแนวโน้มอยู่ในระดับคงที่
โดยให้เหตุผลถึงโครงสร้างด้านภาระหนี้ของภาครัฐที่ยังเหมาะสม การดำเนินนโยบายทางการเงินและเศรษฐกิจมหภาคที่มีความรอบคอบ รวมถึงหนี้สินต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม บลจ.กสิกรไทย ประเมินว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2557 นี้ โดยคาดว่าจากการประชุมกนง.ในครั้งต่อไป วันที่ 12 มี.ค. ที่จะถึงนี้ มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.00% ต่อปี อันเนื่องมาจากปัจจัยสำคัญคือผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ซึ่งส่งผลต่อการบริโภคและการลงทุนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้หากสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายลงได้เร็ว เศรษฐกิจไทยอาจเริ่มฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ในปี 2557 ตลอดทั้งปี เศรษฐกิจไทยอาจจะเติบโตได้อยู่ที่ระดับประมาณ 3%
ทั้งนี้ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 3 มีนาคม 2557 นี้ บลจ.กสิกรไทย จะเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอเอ็กซ์ (KFF6MAX) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี และกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี จี (KEFF1YG) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.25% ต่อปี นอกจากนี้เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก บลจ.กสิกรไทยยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีพี (KPPTF3MDP) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.25% ต่อปี