xs
xsm
sm
md
lg

ส่องผลตอบแทนกองทุนในไตรมาสแรก พบกองหุ้นและกองทองคำยังให้ยิลด์ดี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อย่าได้แปลกใจเลย ถ้าช่วงนี้ใครๆก็ชวนกันไปต่างประเทศ ไม่เว้นแม้แต่แวดวงกองทุนรวม ซึ่งหลายๆบลจ.ก็เริ่มชวนนักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยหลายคนประสานเสียงกันเป็นหนึ่งเดียวว่า” พอร์ตการลงทุนที่ดีควรกระจายไปในหลายสินทรัพย์” และการลงทุนในต่างประเทศก็เป็นตัวเลือกที่ดีตัวหนึ่ง แต่สิ่งที่นักลงทุนควรสำรวจนั่นก็คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุน รวมถึงความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้นั่นเอง

วันนี้ “ASTVผู้จัดการ”จะขออาสาพาผู้อ่านไปเจาะลึกผลตอบแทนของกองทุนรวมในไตรมาสแรกของปีนี้ โดยบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ระบุว่า ผลตอบแทนกองทุนในปีนี้ค่อนข้างผันผวนเป็นอย่างมากในทุกประเภทสินทรัพย์โดยเฉพาะในกลุ่มกองทุนหุ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นในประเทศไทย ซึ่งจากที่เคยถูกมองข้ามโดยโบรกเกอร์และเหล่าผู้จัดการกองทุนกลับพลิกทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงที่สุดในไตรมาสแรกนี้

โดยกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Equity General) ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 6.07% และกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Equity Large Cap) ก็ทำได้ดีเช่นกันที่เฉลี่ย 6.04% ขณะที่ SET Index ทำได้  5.97%

ส่วนกองทุนที่สร้างตอบแทนได้ดีอีกกลุ่มเห็นจะเป็น กลุ่มกองทุนทองคำ ที่สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยบวกอยู่ที่ 5.58% หลังจากที่ทำผลตอบแทนได้ต่ำที่สุดเมื่อปีที่แล้ว

    

ไตรมาสแรกนี้กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศดูจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในประเทศโดยเฉพาะกลุ่ม Emerging Market Bond ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 1.72% ขณะที่ ตราสารหนี้ที่ลงทุนในประเทศ ทั้งระยะสั้นและยาวทำได้เฉลี่ยที่ 1% ซึ่งถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับกองทุนตราสารหนี้
    
กลุ่มสุดท้ายที่นักลงทุนในหุ้นส่วนใหญ่ให้ความนิยมนั้นก็คือ กลุ่มกองทุนหุ้นที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งต่างทำผลตอบแทนได้น่าผิดหวังเล็กน้อย ทั้ง 3 กลุ่มหลัก โดย กลุ่ม Asia Pacific ex-Japan Equity ทำได้เฉลี่ย -2.15% กลุ่ม Emerging Market Equity ทำได้เฉลี่ย -1.86% และ กลุ่ม Global Equity ทำได้เฉลี่ย -0.83%
    
และหากจะเจาะลึกลงไปในรายละเอียดก็จะเห็นได้ว่ากลุ่มกองทุนที่ลงทุนใน หุ้นญี่ปุ่น ดูจะประสบปัญหามากที่สุดโดยทำผลตอบแทนเฉลี่ย -8.12% และที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนติดลบเฉลี่ย -7.35% *

ขณะที่กลุ่มที่เน้นลงทุนใน อเมริกาและยุโรป นั้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 1% เท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการที่ตลาดในภูมิภาคต่างๆเหล่านั้นได้ปรับตัวขึ้นมาสูงมากในช่วงปีที่ผ่านมาจึงอาจเกิดแรงเทขายทำกำไรจากนักลงทุนบางกลุ่ม
    
ทั้งนี้ผลตอบแทนดังกล่าวเป็นเพียงข้อมูลผลตอบแทนระยะสั้น (3เดือน) ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ลงทุนพิจารณาถึงผลตอบแทนในระยะยาวด้วยเช่นกันเนื่องจากการลงทุนในตราสารที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้น นั้นต้องเน้นลงทุนในระยะยาว
    
สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวมประเทศไทยนั้นยังคงโตได้ดีอย่างต่อเนื่องแม้บรรยากาศในการลงทุนจะไม่เป็นใจเท่าไร ตลอดไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมานี้ นักลงทุนยังคงลงทุนในกองทุนรวมอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามมีเพียงการเปลี่ยนแปลงประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุนที่โดดเด่นและเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันทั้ง โบรกเกอร์และผู้จัดการกองทุนต่างๆนั้นก็คือ แนะนำให้ผู้ลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย โดยให้เพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยลง อาทิ กองทุนตราสารหนี้ หรือสำหรับผู้ลงทุนที่ยังคงสนใจลงทุนรวมในหุ้น ก็แนะนำให้ไปลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศมากกว่า
    
สำหรับกลุ่มกองทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดนั้นก็คือ กองทุนตราสารหนี้แบบที่กำหนดอายุโครงการ (Term Fund) โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นลงทุนใน High Yield Bond โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเรตติ้งในระดับต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade)
    
กลุ่มต่อมากลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งก็คือ กลุ่มตราสารหนี้ในประเทศไม่ว่าจะเป็นทั้งกลุ่มระยะสั้น (Short Term Bond)และปานกลางถึงยาว (Mid/Long Term Bond) โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 30,000 และ 9,000 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้เป็นผลมาจากความกังวลที่มีเพิ่มมากขึ้นต่อความผันผวนของตลาดหุ้นไทย
    
อีกกลุ่มที่โดดเด่นเป็นอย่างมากก็คือ กลุ่มกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งในปีนี้เริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นในส่วนของนโยบายในการลงทุน ที่มีการเน้นลงทุนแบบเจาะกลุ่มประเทศ (single country) และภูมิภาค (Region) โดยแม้ไตรมาสแรกที่ผ่านมาจะมีกองทุนกลุ่มดังกล่าวเปิดใหม่เพียงประมาณ 6 กองทุน แต่กลับมีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิกว่า 11,220 ล้านบาท

 ทั้งนี้ส่วนหนึ่ง บลจ. ก็นำกองทุนที่มีอยู่แล้วมาปัดฝุ่นขายกันใหม่ ซึ่งกลุ่มที่โดดเด่นที่สุดคือ กลุ่มหุ้นยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น โดยมีเงินไหลเข้ากว่า 4,000 2,500 และ2,300 ล้านบาท ตามลำดับ   


กำลังโหลดความคิดเห็น