เอไอเอเผยการเมืองกระทบบรรยากาศลงทุนระยะสั้น เผยปีที่ผ่านมายังเติบโตได้ดี มั่นใจระยะยาวยังเติบโตต่อไปได้
นายซาลูน ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเติบโตในลักษณะชะลอตัว ซึ่งมีผลต่อเนื่องถึงการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตไทยที่ต้องยอมรับว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2557 มีการเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากกำลังซื้อชะลอการตัดสินใจทำประกันชีวิต แต่เอไอเอ ประเทศไทยยังมีมุมมองเป็นบวกต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง และมองว่าปัจจัยเรื่องการเมืองเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นหรือในระยะประมาณ 6 เดือน ซึ่งคาดว่าในระยะยาวธุรกิจประกันชีวิตไทยจะยังคงเติบโตได้ต่อไป
ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยในปีนี้เอไอเอวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปที่ประกันชีวิตเพื่อความคุ้มครองและที่เกี่ยวกับสุขภาพออกมามากขึ้น พร้อมให้ผลประโยชน์ในวงเงินที่ค่อนข้างสูง และจะผลักดันให้ตัวแทนขายทำงานได้อย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโต ขณะเดียวกันจะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเสนอขายของตัวแทน ทำให้การบริการลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนผลกระทบของลูกค้าที่บริษัทมีการทำตลาดเกษตรกร ซึ่งเก็บเบี้ยรายเดือน เดือนละ 200-500 บาท ยังคงชำระเบี้ยตามปกติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าวที่ชาวนาบางส่วนยังไม่ได้รับเงิน รวมถึงลูกค้าในพื้นที่อื่นๆ ก็ยังไม่มีการขอผ่อนผันชำระเบี้ยที่มีสาเหตุจากการเมือง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของลูกค้าที่มีปัญหา ทางบริษัทก็พร้อมจะขยายเวลาให้ 45 วัน 56 วัน และ 2-3 เดือน ซึ่งเคยผ่อนผันมาแล้วช่วงน้ำท่วมหนักครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ ลูกค้าเก่ายังคงมีการชำระเบี้ยตามปกติ อาจเป็นเพราะลูกค้าเห็นว่าสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นปัจจุบันจำเป็นต้องมีความคุ้มครองให้ชีวิต
ดังนั้น เอไอเอ ประเทศไทยจึงมั่นใจว่าแม้ในปีนี้จะมีปัจจัยลบที่ฉุดการเติบโตของตลาดประกันชีวิต แต่ด้วยแผนการดำเนินงานที่วางไว้จะสนับสนุนให้บริษัทมีการเติบโตของเบี้ยรับรวมเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถบอกถึงเป้าหมายได้ แต่เชื่อมั่นว่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับการเติบโตของประกันชีวิตโดยรวม ซึ่งในปีนี้คาดว่าประกันชีวิตทั้งระบบจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากสัดส่วนคนไทยที่ทำประกันชีวิตในปัจจุบันยังค่อนข้างต่ำ ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทยในปัจจุบันมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มเอไอเอ ในอนาคตมีเป้าหมายที่จะขยายการเติบโตมากขึ้นเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของทั้งกลุ่ม
สำหรับในปีที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยใหม่ที่คิดตามมาตรฐานสากลเติบโต 11% และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 6% ทำให้ตัวเลขของบริษัทไม่ตรงกับของสมาคมฯ ที่มีหลักการคิดไม่เหมือนกัน โดยผลการดำเนินงานปี 2556 ที่ผ่านมา ทางสมาคมประกันชีวิตไทยได้รายงานว่า บริษัท เอไอเอ สาขาประเทศไทยมีเบี้ยรับรวม 1.10 แสนล้านบาท มีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 25.0 และมีเบี้ยรับใหม่จำนวน 2.68 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 18.1
นายซาลูน ธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย เปิดเผยว่า ความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเติบโตในลักษณะชะลอตัว ซึ่งมีผลต่อเนื่องถึงการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตไทยที่ต้องยอมรับว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2557 มีการเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากกำลังซื้อชะลอการตัดสินใจทำประกันชีวิต แต่เอไอเอ ประเทศไทยยังมีมุมมองเป็นบวกต่อพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความแข็งแกร่ง และมองว่าปัจจัยเรื่องการเมืองเป็นปัจจัยกดดันระยะสั้นหรือในระยะประมาณ 6 เดือน ซึ่งคาดว่าในระยะยาวธุรกิจประกันชีวิตไทยจะยังคงเติบโตได้ต่อไป
ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทย ได้มีการเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยในปีนี้เอไอเอวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นไปที่ประกันชีวิตเพื่อความคุ้มครองและที่เกี่ยวกับสุขภาพออกมามากขึ้น พร้อมให้ผลประโยชน์ในวงเงินที่ค่อนข้างสูง และจะผลักดันให้ตัวแทนขายทำงานได้อย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโต ขณะเดียวกันจะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการเสนอขายของตัวแทน ทำให้การบริการลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนผลกระทบของลูกค้าที่บริษัทมีการทำตลาดเกษตรกร ซึ่งเก็บเบี้ยรายเดือน เดือนละ 200-500 บาท ยังคงชำระเบี้ยตามปกติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการรับจำนำข้าวที่ชาวนาบางส่วนยังไม่ได้รับเงิน รวมถึงลูกค้าในพื้นที่อื่นๆ ก็ยังไม่มีการขอผ่อนผันชำระเบี้ยที่มีสาเหตุจากการเมือง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของลูกค้าที่มีปัญหา ทางบริษัทก็พร้อมจะขยายเวลาให้ 45 วัน 56 วัน และ 2-3 เดือน ซึ่งเคยผ่อนผันมาแล้วช่วงน้ำท่วมหนักครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ ลูกค้าเก่ายังคงมีการชำระเบี้ยตามปกติ อาจเป็นเพราะลูกค้าเห็นว่าสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเช่นปัจจุบันจำเป็นต้องมีความคุ้มครองให้ชีวิต
ดังนั้น เอไอเอ ประเทศไทยจึงมั่นใจว่าแม้ในปีนี้จะมีปัจจัยลบที่ฉุดการเติบโตของตลาดประกันชีวิต แต่ด้วยแผนการดำเนินงานที่วางไว้จะสนับสนุนให้บริษัทมีการเติบโตของเบี้ยรับรวมเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถบอกถึงเป้าหมายได้ แต่เชื่อมั่นว่าจะมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับการเติบโตของประกันชีวิตโดยรวม ซึ่งในปีนี้คาดว่าประกันชีวิตทั้งระบบจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากสัดส่วนคนไทยที่ทำประกันชีวิตในปัจจุบันยังค่อนข้างต่ำ ทั้งนี้ เอไอเอ ประเทศไทยในปัจจุบันมีขนาดธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกลุ่มเอไอเอ ในอนาคตมีเป้าหมายที่จะขยายการเติบโตมากขึ้นเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของทั้งกลุ่ม
สำหรับในปีที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยใหม่ที่คิดตามมาตรฐานสากลเติบโต 11% และมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 6% ทำให้ตัวเลขของบริษัทไม่ตรงกับของสมาคมฯ ที่มีหลักการคิดไม่เหมือนกัน โดยผลการดำเนินงานปี 2556 ที่ผ่านมา ทางสมาคมประกันชีวิตไทยได้รายงานว่า บริษัท เอไอเอ สาขาประเทศไทยมีเบี้ยรับรวม 1.10 แสนล้านบาท มีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 25.0 และมีเบี้ยรับใหม่จำนวน 2.68 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 18.1