อลิอันซ์ อยุธยาประกันชีวิต เผยอนาคตสินค้าคุ้มครองประกันชีวิตไทยแจ่ม มีช่องว่างโตอีก 22 ล้านล้านบาท ระบุเศรษฐกิจชะลอและปัญหาการเมืองกระทบเล็กน้อย แต่เชื่อทั้งปียังสามารถขยายตัวได้ พร้อมตั้งเป้าปี 57 กวาดเบี้ยรับรวมแตะ 27,000 ล้านบาท กวาดเบี้ยปีแรกเพิ่มอีก 6,600 ล้านบาท เน้นกรมธรรม์คุ้มครองสุขภาพมากขึ้น มั่นใจลงทุนไทยต่อแม้การเมืองผันผวน เศรษฐกิจชะลอตัว
นายไบรอัน สมิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยาประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก หากเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีสัดส่วนกรมธรรม์ต่อประชากรมากกว่า 100% ขณะที่ประเทศไทยปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตเพียงแค่ 30% ของจำนวนประชากร
“เท่าที่ดูจากตัวเลขจะพบว่าคนญี่ปุ่นจะถือกรมธรรม์ประกันชีวิตมากกว่า 1 กรมธรรม์ ซึ่งจากรายงานของสวิสรีฯ บริษัทรับประกันภัยต่อขนาดใหญ่ระบุว่า ธุรกิจประกันชีวิตไทยหากคิดเป็นมูลค่าที่ยังสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่ให้ความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพจะสูงถึงกว่า 22 ล้านล้านบาท โดยจะเป็นช่องว่างที่เหลือจากฐานเงินฝากและอัตราการประกันชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน” นายไบรอันกล่าว
ส่วนแนวโน้มการเติบของธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้เชื่อว่าจะยังสามารถเติบโตได้ดี ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาการเมือง เนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตจะมีความแตกต่างจากธุรกิจประเภทอื่น ส่วนปัญหาทางการเมืองของไทยคงไม่กระทบต่อแผนงานของบริษัท เพราะจากการดูสถิติในช่วงที่ผ่านมาถึงแม้ว่าการเติบโตจะช้าลงไปบ้างแต่ก็ยังมีแนวโน้มที่ดี และเชื่อว่าการมีช่องทางที่หลากหลายจะทำให้ผลงานของบริษัทยังคงเติบโตได้เช่นเคย
นายไบรอันกล่าวอีกว่า ในปีนี้ได้ตั้งเป้าการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวมเอาไว้ที่ 27,500 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทางตัวแทน 15,000 ล้านบาท ช่องทางธนาคาร 7,500 ล้านบาท ช่องทางตลาดขายตรง 4,300 ล้านบาท และช่องทางอื่นๆ อีก 750 ล้านบาท
ส่วนเบี้ยประกันภัยปีแรกบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 6,600 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทางตัวแทนที่ 2,700 ล้านบาท ช่องทางธนาคาร 17,00 ล้านบาท ช่องทางตลาดขายตรง 1,800 ล้านบาท และที่เหลือจะเป็นช่องทางอื่นๆ อีกประมาณ 300-400 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงเน้นเสริมสร้างความแข็งแกร่งใน 3 ช่องทางการขาย โดยเฉพาะช่องทางตัวแทนที่จะเน้นให้ความสำคัญและได้มีการปรับเพิ่มประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวแทนสามารถขายสินค้าด้านความคุ้มครองได้มากขึ้น
ขณะที่การขายสินค้าประกันชีวิตในปีนี้ บริษัทจะเน้นการขายสินค้าด้านความคุ้มครองและสุขภาพมากขึ้น โดยหวังว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนสินค้าความคุ้มครองให้อยู่ที่ 50% ของสินค้าที่ขายทั้งหมด โดยการเจาะตลาดด้วยสินค้าความคุ้มครองจะสอดคล้องกับการเพิ่มศักยภาพของช่องทางตัวแทน เริ่มตั้งแต่การหาตัวแทน การฝึกอบรม และการเข้าใจสินค้าที่ขาย
มั่นใจลงทุนไทยต่อ
นายไบรอันกล่าวอีกว่า ปัจจุบันการลงทุนในประเทศไทยยังคงมีความผันผวน แต่บริษัทยังเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้อยู่ 95% (แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล 75% และหุ้นกู้เอกชน 25%) อสังหาริมทรัพย์และหุ้นอีก 5% โดยขณะนี้ในส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบริษัทยังไม่มีการปรับเปลี่ยนพอร์ตแต่อย่างใด แต่ก็มีความเป็นไปได้ในอนาคตหากมีโอกาส
“เรายังมีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนในประเทศไทย ซึ่งผมเองหลังจากมาอยู่ที่นี่ประมาณ 4 ปีครึ่งมองว่าไทยในช่วงที่ผ่านมาต้องเจอปัญหาการเมือง น้ำท่วม แต่ก็สามารถผ่านพ้นไปด้วยดี และหลังหมดปัญหาการเติบโตก็ดีขึ้นมากด้วย” นายไบรอันกล่าว
ขณะที่การขยายการลงทุนไปในประเทศเพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน หรือ (AEC) นายไบรอันกล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มอลิอันซ์มีการลงทุนในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และยังไม่มีแผนที่จะขยายการลงทุนในประเทศลาว เขมร กัมพูชา หรือเวียดนามแต่อย่างใด เนื่องจากมองว่าการขยายศูนย์บริการ หรือสาขาในต่างจังหวัดบริเวณชายแดนไทยที่มีพรมแดนติดกับประเทศเหล่านั้นน่าจะมีผลดีมากกว่าการเข้าไปเปิดสาขาหรือลงทุนในเบื้องต้น
นายไบรอัน สมิธ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อลิอันซ์ อยุธยาประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยยังสามารถเติบโตได้อีกมาก หากเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีสัดส่วนกรมธรรม์ต่อประชากรมากกว่า 100% ขณะที่ประเทศไทยปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตเพียงแค่ 30% ของจำนวนประชากร
“เท่าที่ดูจากตัวเลขจะพบว่าคนญี่ปุ่นจะถือกรมธรรม์ประกันชีวิตมากกว่า 1 กรมธรรม์ ซึ่งจากรายงานของสวิสรีฯ บริษัทรับประกันภัยต่อขนาดใหญ่ระบุว่า ธุรกิจประกันชีวิตไทยหากคิดเป็นมูลค่าที่ยังสามารถเติบโตได้ โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่ให้ความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพจะสูงถึงกว่า 22 ล้านล้านบาท โดยจะเป็นช่องว่างที่เหลือจากฐานเงินฝากและอัตราการประกันชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน” นายไบรอันกล่าว
ส่วนแนวโน้มการเติบของธุรกิจประกันชีวิตในปีนี้เชื่อว่าจะยังสามารถเติบโตได้ดี ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและปัญหาการเมือง เนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตจะมีความแตกต่างจากธุรกิจประเภทอื่น ส่วนปัญหาทางการเมืองของไทยคงไม่กระทบต่อแผนงานของบริษัท เพราะจากการดูสถิติในช่วงที่ผ่านมาถึงแม้ว่าการเติบโตจะช้าลงไปบ้างแต่ก็ยังมีแนวโน้มที่ดี และเชื่อว่าการมีช่องทางที่หลากหลายจะทำให้ผลงานของบริษัทยังคงเติบโตได้เช่นเคย
นายไบรอันกล่าวอีกว่า ในปีนี้ได้ตั้งเป้าการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวมเอาไว้ที่ 27,500 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทางตัวแทน 15,000 ล้านบาท ช่องทางธนาคาร 7,500 ล้านบาท ช่องทางตลาดขายตรง 4,300 ล้านบาท และช่องทางอื่นๆ อีก 750 ล้านบาท
ส่วนเบี้ยประกันภัยปีแรกบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 6,600 ล้านบาท แบ่งเป็นช่องทางตัวแทนที่ 2,700 ล้านบาท ช่องทางธนาคาร 17,00 ล้านบาท ช่องทางตลาดขายตรง 1,800 ล้านบาท และที่เหลือจะเป็นช่องทางอื่นๆ อีกประมาณ 300-400 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทจะยังคงเน้นเสริมสร้างความแข็งแกร่งใน 3 ช่องทางการขาย โดยเฉพาะช่องทางตัวแทนที่จะเน้นให้ความสำคัญและได้มีการปรับเพิ่มประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตัวแทนสามารถขายสินค้าด้านความคุ้มครองได้มากขึ้น
ขณะที่การขายสินค้าประกันชีวิตในปีนี้ บริษัทจะเน้นการขายสินค้าด้านความคุ้มครองและสุขภาพมากขึ้น โดยหวังว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนสินค้าความคุ้มครองให้อยู่ที่ 50% ของสินค้าที่ขายทั้งหมด โดยการเจาะตลาดด้วยสินค้าความคุ้มครองจะสอดคล้องกับการเพิ่มศักยภาพของช่องทางตัวแทน เริ่มตั้งแต่การหาตัวแทน การฝึกอบรม และการเข้าใจสินค้าที่ขาย
มั่นใจลงทุนไทยต่อ
นายไบรอันกล่าวอีกว่า ปัจจุบันการลงทุนในประเทศไทยยังคงมีความผันผวน แต่บริษัทยังเชื่อมั่นการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้อยู่ 95% (แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล 75% และหุ้นกู้เอกชน 25%) อสังหาริมทรัพย์และหุ้นอีก 5% โดยขณะนี้ในส่วนของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยบริษัทยังไม่มีการปรับเปลี่ยนพอร์ตแต่อย่างใด แต่ก็มีความเป็นไปได้ในอนาคตหากมีโอกาส
“เรายังมีความมุ่งมั่นที่จะลงทุนในประเทศไทย ซึ่งผมเองหลังจากมาอยู่ที่นี่ประมาณ 4 ปีครึ่งมองว่าไทยในช่วงที่ผ่านมาต้องเจอปัญหาการเมือง น้ำท่วม แต่ก็สามารถผ่านพ้นไปด้วยดี และหลังหมดปัญหาการเติบโตก็ดีขึ้นมากด้วย” นายไบรอันกล่าว
ขณะที่การขยายการลงทุนไปในประเทศเพื่อรองรับการเปิดประชาคมอาเซียน หรือ (AEC) นายไบรอันกล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มอลิอันซ์มีการลงทุนในประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และยังไม่มีแผนที่จะขยายการลงทุนในประเทศลาว เขมร กัมพูชา หรือเวียดนามแต่อย่างใด เนื่องจากมองว่าการขยายศูนย์บริการ หรือสาขาในต่างจังหวัดบริเวณชายแดนไทยที่มีพรมแดนติดกับประเทศเหล่านั้นน่าจะมีผลดีมากกว่าการเข้าไปเปิดสาขาหรือลงทุนในเบื้องต้น