ฟอลคอนประกันภัยตั้งเป้าปีม้าทองโต 15% กวาดเบี้ย 1,700 ล้านบาท ระบุภาพรวมทั้งธุรกิจน่าจะเติบโตได้ที่ 12% แต่ยังต้องเผชิญกับปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลให้เม็ดเงินในธุรกิจลดลง พร้อมเผยอัตราเบี้ยประกันภัยทรัพย์สินจ่อปรับอีก โดยเฉพาะคอนโดฯ ส่วนเบี้ยภัยธรรมชาติอาจลงไม่สุดเท่าก่อนน้ำท่วมเนื่องจากเป็นอัตราที่ถูกเกินไป
นางโสภา กาญจนรินทร์ ประธานบริหาร บริษัท ฟอลคอนประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจประกันภัยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ที่ประมาณ 12% แต่ยังต้องเผชิญกับปัญหาการเมือง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยเชื่อว่าเม็ดเงินในธุรกิจประกันภัยน่าจะปรับตัวลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ หลังจากโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ ต้องล่าช้าออกไป รวมถึงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอการก่อสร้างเพื่อดูสถานการณ์การเมืองก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงตั้งเป้าการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวมเอาไว้ที่ 15% หรือประมาณ 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็น เบี้ยประกันภัยจากกลุ่มธุรกิจองค์กร 1,300 ล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมาสามารถทำเบี้ยรับรวมได้มากกว่า 1,100 ล้าน และเบี้ยประกันภัยรายย่อย 400 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา (2556) บริษัทสามารถทำเบี้ยรับรวม 1,481 ล้านบาท เติบโต 17% แบ่งเป็นประกันภัยทรัพย์สิน 732 ล้านบาท ประกันภัยรถยนต์ 279 ล้านบาท ประกันภัยวิศวกรรม 129 ล้านบาท ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 134 ล้านบาท และประกันภัยการขนส่งและทะเล 33 ล้านบาท ซึ่งทำให้ในปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำกำไรได้ 120 ล้านบาท
โดยในปีนี้บริษัทจะยังคงเน้นความร่วมมือทางพันธมิตรทางธุรกิจต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มองค์กรและกลุ่มลูกค้าผลิตภัณฑ์รายย่อย พร้อมพัฒนาสินค้าให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการเพิ่มช่องทางบริการรูปแบบใหม่ ซึ่งเชื่อว่าเบี้ยรับรวมในปีนี้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ แม้ปัจจัยเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยก็ตาม
“บริษัทยังคงเน้นลูกค้าธุรกิจองค์กรเป็นหลัก โดยรับประกันภัยผ่านบริษัทโบรกเกอร์ ไม่มีการขายผ่านตัวแทน โดยในปี 56 รายได้หลักกว่า 74% มาจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าว และเน้นกลุ่มลูกค้าประกันทรัพย์สินซึ่งเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบกับปี 55 ที่ประกันทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 132 ล้านบาท” นางโสภากล่าว
**เบี้ยประกันทรัพย์สินจ่อปรับอีก**
นายณัฐวุฒิ งานภิญโญ ประธานบริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทฟอลคอนประกันภัย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ของบริษัทเชื่อว่าจะมาจากช่องทางการประกันภัยทรัพย์สินเป็นหลัก ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาอัตราเบี้ยประกันภัยปรับตัวลดลงไปบ้างแล้วประมาณ 10% ซึ่งแนวโน้มอัตราเบี้ยประกันภัยน่าจะยังคงลดลงอีก แต่เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน เนื่องจากมั่นใจว่าอัตราการขายกรมธรรม์น่าจะเพิ่มขึ้นมาชดเชยในส่วนนี้ได้
“เบี้ยประกันปรับตัวลดลงไปมาก โดยเฉพาะในส่วนของคอนโดฯ มากที่สุด แต่เชื่อว่ายอดขายน่าจะดีขึ้น และเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งถึงแม้จะมีปัญหาการเมือง แต่ดูตัวเลขแล้วเบี้ยต่ออายุก็ยังคงเข้ามาปกติเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนถ้าการเมืองมันยืดเยื้อออกไปก็คงจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่น่าจะเป็นผลกระทบในส่วนของธุรกิจใหม่ที่จะเติบโตขึ้นมากกว่า” นายณัฐวุฒิกล่าว
ส่วนอัตราเบี้ยประกันภัยธรรมชาติของประเทศไทยหลังน้ำท่วมนั้นขณะนี้มีการปรับตัวลดลงแล้วเช่นกัน แต่เชื่อว่าคงไม่สามารถลดลงมาอยู่ในระดับเดียวกันกับช่วงก่อนเกิดน้ำท่วมใหญ่ซึ่งมีอัตราที่ถูกมากได้ แต่ก็มีสัญญาณที่ดีเช่นกันว่าการแข่งขันจะดีขึ้นภายหลังที่มีบริษัทรับประกันภัยต่อต่างประเทศเริ่มกลับเข้ามารับงานจากประเทศไทยมากขึ้น ถึงแม้จะเป็นรายเดิมที่เคยรับงานในช่วงก่อนน้ำท่วมไม่ใช่รายใหม่ก็ตาม