บลจ.กสิกรไทยแนะนักลงทุนเพิ่มพอร์ตการลงทุนด้วยกองทุน FIF มั่นใจช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนและลดความผันผวนของหุ้นไทยได้ ล่าสุดปันผลกองทุน K-USA ครั้งที่ 4 ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วยลงทุน เตรียมรับปันผลในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 นี้
นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ในช่วงต้นปี ซึ่งคาดว่าภาพรวมตลอดปี 2557 นี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถเติบโตได้ถึง 2.8% ซึ่งตัวเลขคาดการณ์นี้ สะท้อนในเห็นถึงการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในทางที่ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จึงเริ่มมีการปรับลดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ลงต่อเนื่องจาก 7.8% เมื่อต้นปี 2556 เหลือ 6.7% ในช่วงต้นปี 2557
อย่างไรก็ตาม Fed ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำต่อไปเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่อง และกระตุ้นให้การว่างงานลดลงมาอยู่ในเป้าหมายที่ 6.5% ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นและบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ เชื่อว่าปัญหาความไม่สงบทางการเมืองมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบทางลบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย บวกกับปัจจัยภายนอกที่มากระทบอย่างเรื่องการปรับลดมาตรการ QE ส่งผลต่อเนื่องให้หุ้นในประเทศขาดเสถียรภาพ
ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนในการลงทุนหุ้นในประเทศ บลจ.กสิกรไทยจึงชวนนักลงทุนหันมากระจายความเสี่ยงกับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ที่ บลจ.กสิกรไทยได้คัดสรรไว้ตอบโจทย์ทุกการลงทุน โดยผู้ที่สนใจสามารถลงทุนในกองทุนต่างประเทศอื่นๆ ของ บลจ.ได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 5,000 บาท
นายนาวิน กล่าวต่อว่า บลจ.กสิกรไทยมีกำหนดที่จะจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) ครั้งที่ 4 สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2556-31 มกราคม 2557 ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนเวลา 08.00 น.ของวันที่ 31 มกราคม 2557 ในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 136 ล้านบาท โดยมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557
สำหรับกองทุน K-USA มีจุดเด่นในเรื่องของนโยบายการลงทุนและกลยุทธ์การบริหารแบบ Active Approach มุ่งลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่มีโอกาสเติบโตสูงและมีผลประกอบการโดดเด่นทั่วโลก อาทิ Apple Motorola Google Amazon EBay Starbucks ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่ทำรายได้ทั้งในสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ กองทุนเน้นการลงทุนในระยะยาวมากกว่าการกังวลกับความผันผวนของตลาดในระยะสั้น จึงทำให้ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ผ่านมานับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในเดือนกันยายน 2555 จนถึงปัจจุบันมีการจ่ายปันผลรวม 4 ครั้ง และมีมูลค่าการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้น 1.45 บาทต่อหน่วย