xs
xsm
sm
md
lg

แอสเซทพลัสชูธงลุยหุ้นนอก ตั้งเป้าโต 25% เน้นธุรกิจกองทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รัชต์ โสดสถิตย์
กรรมการผู้จัดการคนใหม่ บลจ.แอสเซท พลัส ลุยงานเต็มสูบ ตั้งเป้า AUM ปีนี้โต 25% เน้นธุรกิจกองทุนรวมให้มากขึ้น ชูธงลุยหุ้นนอก เผยสถานการณ์การเมืองไทยประเมินยาก พร้อมทำให้ราคาหุ้นไทยต่ำกว่าพื้นฐาน

นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงครึ่งปีหลังหากปัจจัยการเมืองคลี่คลาย โดยปัจจุบัน Valuation ของ Set Index ในระดับปัจจุบันที่ P/E 11.5 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต และมี Valuation ที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่ม TIP ที่ประกอบไปด้วย ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระดับปกติ

“ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 15% ในขณะที่ภูมิภาคปรับตัวลดลงเพียง 5% ถือเป็นการปรับตัวลงกว่าภูมิภาค ทั้งนี้ หากเราประเมินเเละแยกตัวเลขออกมาหรือเทียบกับภูมิภาคจะพบว่าปัญหาการเมืองไทยทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลง 10% และอีก 5% มาจากปัญหา QE Tapering เหมือนกับตลาดหุ้นในภูมิภาค จึงเห็นความแตกต่างที่เกิดขึ้น ซึ่งเรามองว่าหากปัญหาการเมืองจบเร็วและคลี่คลายไปในทางที่ดีดัชนีหุ้นจะปรับตัวขึ้น เรามองว่าการเมืองทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐานและกดดันหุ้นแรงกว่าตอนมีข่าวดี ในส่วนของเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยก่อนหน้านี้ก็ขายทำกำไรออกไปแล้วเกือบ 100% ซึ่งเราประเมินว่าหุ้นไทยใกล้ bottom แล้ว”

นายรัชต์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมบริษัทในปีนี้เราตั้งเป้าการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการ หรือ AUM เพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 25% จากสิ้นปี 2556 จากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมประมาณ 70% และกองทุนส่วนบุคคลอีก 30% โดยจะเน้นการลงทุนในหุ้นต่างประเทศเป็นหลัก โดยเน้นประเทศและภูมิภาคที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ทั้งเอเชีย ยุโรป และสหรัฐฯ โดยจะเน้นทำธุรกิจในส่วนของกองทุนรวมที่เสนอขายใหม่ประมาณ 60% และจากกองทุนเดิมที่มีอยู่ของบริษัทอีก 40%

“แผนการเสนอขายกองทุนรวมปีนี้ที่เราตั้งไว้ไม่ต่ำกว่า 10 กองทุน โดยเป็นกองทุนแบบ Active ประเภททริกเกอร์ฟันด์ที่เน้นกลยุทธ์แบบ Stock selection เป็นหลัก และกองทุนเปิดที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย และกองทุน FIF ประเภท Feeder Fund ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นและมีความเชี่ยวชาญในสินทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งกลางเดือนมกราคมนี้เราเตรียมเสนอขายกองทุนหุ้นที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรป”

สำหรับธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลนั้นเราจะเน้นขยายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น จากเดิมที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยในปีนี้จะเพิ่มทางเลือกในการลงทุนใน Private Equity ซึ่งเป็นหุ้นนอกตลาด โดยจะเลือกลงทุนในบริษัทที่ประกอบกิจการในอุตสหกรรมที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้แก่พอร์ตการลงทุนของลูกค้าให้มากที่สุด

ขณะเดียวกัน เราตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนการขายผ่านตัวแทนขาย (Selling Agents) ให้มากขึ้นเป็น 40% จากเดิม 30% ด้วยการเพิ่ม Selling Agents เป็น 34 รายจากเดิม 28 ราย ส่วนอีก 60% มาจากการขายของ Marketing ของบริษัทฯ ตลอดทั้งพัฒนาระบบ Internet Trading เพิ่มขยายช่องทางการขาย โดยคาดว่าจะพัฒนาเสร็จสิ้นประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้ ส่วนการขยายกลุ่มลูกค้ากองทุนส่วนบุคคลจะเน้นกลุ่มลูกค้าบุคคลธรรมดารายใหญ่เป็นหลัก

นอกจากนี้ เราตั้งเป้า บลจ.ให้เป็น One stop wealth managerment solution ที่ตอบโจทย์การลงทุนลูกค้าแบบครบวงจรครอบคลุมทุกสินทรัพย์ในอุตสาหกรรม ทั้งตราสารหนี้ และหุ้นทั่วโลก โดยเราจะทำหน้าที่เป็น Wealth panner ให้ลูกค้าทุกระดับเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการลงทุน

การเมืองประเมินยาก มอง bottom ที่ 1,150-1,250 จุด 

นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บลจ.แอสเซทพลัส กล่าวว่า เราประเมินกรอบหุ้นไทยในช่วงนี้จะอยู่ที่ 1,150-1,250 จุด ซึ่งถือเป็นจุด bottom ตอนนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเทรด P/E ที่ 11.5 เท่า ย้อนกลับไปเมื่อปี 2008 ดัชนีหุ้นไทยเทรดอยู่ที่ P/E 8 เท่า เรามองว่าแม้ปีนี้จะมีปัญหาเรื่องสถานการณ์การเมือง แต่คิดว่า P/E ไม่น่าจะลงไปถึง 8 เท่าเหมือนกับปี 2008

ส่วนเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2008-2012 นั้นนักลงทุนก็เริ่มทยอยขายไปเกือบหมด 100% ตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่ยังเหลืออยู่คือนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การเมืองไทยนั้นประเมินค่อนข้างยาก โดย บลจ.เองก็มีการสำรองเงินสด รวมถึงวางระบบรับมือไว้หากเกิดปัญหาฉุกเฉิน

สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ เรามองว่ายุโรปฟิ้นตัวได้อย่างชัดเจน และเติบโตสูงที่สุด เราจึงให้น้ำหนักมากที่สุด โดยเศรษฐกิจของยุโรปเริ่มฟื้นตัวหลังจากที่รัฐบาลเริ่มผ่อนคลายนโยบายรัดเข็มขัด และภาคเอกชนมีการเพิ่มการลงทุนมากขึ้นหลังจากชะลอการลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจซบเซา ขณะที่ญี่ปุ่นเองนั้นนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและการอ่อนค่าของเงินเยนซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคส่งออก ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มเติบโตที่ดี และในส่วนของจีนเองก็มีนโยบายการปฏิรูปส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจระยะยาว จาก Valuation ที่น่าสนใจ และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจน


กำลังโหลดความคิดเห็น