xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.เปิดขาย 3 กองบอนด์ ลงทุนผสมไทย-เทศเพิ่มยิลด์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.เปิดขายกองตราสารหนี้ต่อ หลัง กนง.ลดดอกเบี้ย เน้นลงทุนผสมทั้งไทย-เทศเพิ่มผลตอบแทน กสิกรไทยเปิดขาย 2 กองตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทั้งแบบ 3 เดือน และ 6 เดือน ให้ยิลด์สูงสุด 3.10% ต่อปี ส่วน บลจ.กรุงศรีเปิดขาย 1 กอง อายุ 6 เดือน ให้ผลตอบแทน 3.10% ต่อปีเช่นกัน

นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะยังคงโอกาสรับผลตอบแทนในกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ 2 กองทุนที่เปิดขายในสัปดาห์นี้ ที่อัตรา 2.80-3.10% ต่อปี เพื่อประโยชน์ของผู้ลงทุน แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับลดลงครั้งที่ 2 ของปีนี้ จากต้นปีที่อัตรา 2.75% และเป็นการปรับลดลงต่อเนื่องจากวันที่ 30 พ.ย. 2554 ที่อัตรา 3.25%

สำหรับกองทุนทั้ง 2 กองที่จะเปิดขาย ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีโอ (KFI3MDO) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอที (KFF6MAT) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.10% ต่อปี โดยจะทำการเปิดขายระหว่างวันที่ 3-9 ธันวาคม 2556

ทั้งนี้ ตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีโอ (KFI3MDO) จะลงทุนในเบื้องต้น ประกอบด้วยเงินฝากของ Bank of China และ China Construction Bank Corporation ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (A/TRIS), ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน), (A+(tha)/Fitch) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ประเทศไทยที่ระดับ AA-

ด้านตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เอที (KFF6MAT) จะเข้าลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก Bank of China และ China Construction Bank Corporation ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และ BBB- ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ BBB โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

นางสาวยุพาวดีกล่าวอีกว่า มติของ กนง.ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.50% เหลือ 2.25% ค่อนข้างสวนทางกับการคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตลาดตราสารหนี้ในประเทศได้รับผลกระทบพอสมควร โดยบริษัทได้มีการปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศมากขึ้น เพื่อยังคงอัตราผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อว่านักลงทุนจะยังคงให้ความสนใจลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เช่นเคย เนื่องจากยังคงให้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ประกอบกับความผันผวนของตลาดหุ้นและสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำก็ยังสามารถล็อกอัตราผลตอบแทนในระดับดังกล่าวไว้ได้

ด้าน นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด หรือ KSAM เปิดเผยว่า “บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M80 (KFFIX6M80) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน, สาขามาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union National Bank ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารกรุงศรี จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10% และตั๋วแลกเงินออกโดยบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10% เป็นต้น

ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.10% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป

“ราคาตราสารหนี้ภาครัฐของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นตามตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วงนี้ ส่วนยุโรป ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของยูโรโซนเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือน โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรม สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงร้อยละ 0.08-0.25 โดยที่เส้นอัตราผลตอบแทนมีลักษณะชันมากขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างประเทศ” นายฉัตรพีกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น