บลจ.กรุงศรีขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M79 (KFFIX6M79) อายุประมาณ 6 เดือน ผลตอบแทน 3.10% ต่อปี ด้าน บลจ.กสิกรไทยเปิดขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ อายุ 2 ปี ผลตอบแทน 3.50%
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด หรือ KSAM เปิดเผยว่า “บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M79 (KFFIX6M79) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน, สาขามาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (Asia) (สาธารณรัฐประชาชนจีน, ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ ECP การันตีโดยธนาคาร Gazprombank (รัสเซีย) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารกรุงศรี จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10% และตั๋วแลกเงินออกโดยบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10%
โดยกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M79 (KFFIX6M79) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และต้องการล็อกผลตอบแทน โดยสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.10% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน
ทั้งนี้ ในส่วนของตลาดตราสารหนี้โลกนั้น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ที่รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 204,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดมาก ในขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ร้อยละ 7.3 จากร้อยละ 7.2 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้อายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.15 สู่ร้อยละ 2.75 หลังตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่ง ทางด้านยูโรโซน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.5 จากเดือนก่อนหน้าในเดือนกันยายน โดยเป็นผลจากการชะลอตัวลงของผลผลิตในเยอรมนีและฝรั่งเศส ส่วนจีดีพีของยูโรโซนในไตรมาส 3/56 ขยายตัวร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อนหน้า ชะลอตัวลงจากขยายตัวร้อยละ 0.3 ในไตรมาส 2/56 ทางด้านเอเชีย จีดีพีไตรมาส 3/56 ของญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 0.5 จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน นอกจากนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด”
สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ภายในประเทศนั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้นร้อยละ 0.01-0.07 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ลงสู่ขยายตัวร้อยละ 1 จากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 7-7.5 และคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 5.9 ในปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าเกษตร
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในวันที่ 19-25 พฤศจิกายน 2556 บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนเปิด เค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2 ปี ซี (KFF2YC) ซึ่งเป็นกองทุนใหม่ที่มีอายุโครงการประมาณ 2 ปี แต่เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยผลตอบแทนประมาณการไว้ที่ 3.50% ต่อปี เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่พร้อมลงทุนได้ในระยะที่นานขึ้น และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝากของ Bank of China และ China Construction Bank Corporation ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และตราสารหนี้ที่ออกโดย Banco Santander (Brasil) S.A., Banco Bradesco S.A. และ Itau Unibanco S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ BBB, BBB+ และ BBB+ ตามลำดับ โดยกองทุนดังกล่าวจะมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทุก 1 ปี พร้อมทั้งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
โดย บลจ.กสิกรไทยได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝากและการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุใกล้เคียงกัน อีกทั้งในช่วงนี้สถานการณ์ของตลาดหุ้นขาดเสถียรภาพ เพราะนักลงทุนยังหวั่นกับเรื่องของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทำให้ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ก็ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์ให้แก่นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ
ขณะเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีเอ็ม (KFI3MDM) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เออาร์ (KFF6MAR) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.05% ต่อปี เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นเพิ่มเติมด้วย โดยกองทุน KFI3MDM ซึ่งมีอายุกองทุนประมาณ 3 เดือนจะเข้าลงทุนในเงินฝาก Bank of China และ China Construction Bank Corporation ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (A/TRIS), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ประเทศไทย ที่ระดับ AA- และ A+ ตามลำดับ ด้านกองทุน KFF6MAR ซึ่งมีอายุกองทุนประมาณ 6 เดือน จะเข้าลงทุนในเงินฝาก Bank of China และ China Construction Bank Corporation ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และ BBB- ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการ ลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีเอช (KPPTF3MDH) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.50% ต่อปี
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด หรือ KSAM เปิดเผยว่า “บริษัทอยู่ระหว่างการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M79 (KFFIX6M79) อายุประมาณ 6 เดือน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เงินฝากธนาคาร Bank of China (สาธารณรัฐประชาชนจีน, สาขามาเก๊า) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (Asia) (สาธารณรัฐประชาชนจีน, ฮ่องกง) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ ECP การันตีโดยธนาคาร Gazprombank (รัสเซีย) สัดส่วนการลงทุน 20% ตราสารหนี้ระยะสั้นออกโดยธนาคารกรุงศรี จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10% และตั๋วแลกเงินออกโดยบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 10%
โดยกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M79 (KFFIX6M79) เป็นทางเลือกสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก และต้องการล็อกผลตอบแทน โดยสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลาประมาณ 6 เดือน กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.10% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน
ทั้งนี้ ในส่วนของตลาดตราสารหนี้โลกนั้น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ที่รายงานเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 204,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ซึ่งสูงกว่าที่ตลาดคาดมาก ในขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ร้อยละ 7.3 จากร้อยละ 7.2 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้อายุ 10 ปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.15 สู่ร้อยละ 2.75 หลังตัวเลขการจ้างงานออกมาแข็งแกร่ง ทางด้านยูโรโซน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.5 จากเดือนก่อนหน้าในเดือนกันยายน โดยเป็นผลจากการชะลอตัวลงของผลผลิตในเยอรมนีและฝรั่งเศส ส่วนจีดีพีของยูโรโซนในไตรมาส 3/56 ขยายตัวร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อนหน้า ชะลอตัวลงจากขยายตัวร้อยละ 0.3 ในไตรมาส 2/56 ทางด้านเอเชีย จีดีพีไตรมาส 3/56 ของญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 0.5 จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการขยายตัวเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน นอกจากนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด”
สำหรับภาวะตลาดตราสารหนี้ภายในประเทศนั้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้นร้อยละ 0.01-0.07 เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองเป็นปัจจัยกดดันบรรยากาศการลงทุน ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ลงสู่ขยายตัวร้อยละ 1 จากคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 7-7.5 และคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 5.9 ในปีหน้า โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าเกษตร
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในวันที่ 19-25 พฤศจิกายน 2556 บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนเปิด เค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2 ปี ซี (KFF2YC) ซึ่งเป็นกองทุนใหม่ที่มีอายุโครงการประมาณ 2 ปี แต่เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยผลตอบแทนประมาณการไว้ที่ 3.50% ต่อปี เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่พร้อมลงทุนได้ในระยะที่นานขึ้น และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝากของ Bank of China และ China Construction Bank Corporation ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และตราสารหนี้ที่ออกโดย Banco Santander (Brasil) S.A., Banco Bradesco S.A. และ Itau Unibanco S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ BBB, BBB+ และ BBB+ ตามลำดับ โดยกองทุนดังกล่าวจะมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทุก 1 ปี พร้อมทั้งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
โดย บลจ.กสิกรไทยได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝากและการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุใกล้เคียงกัน อีกทั้งในช่วงนี้สถานการณ์ของตลาดหุ้นขาดเสถียรภาพ เพราะนักลงทุนยังหวั่นกับเรื่องของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทำให้ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ก็ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์ให้แก่นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ
ขณะเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีเอ็ม (KFI3MDM) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เออาร์ (KFF6MAR) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.05% ต่อปี เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นเพิ่มเติมด้วย โดยกองทุน KFI3MDM ซึ่งมีอายุกองทุนประมาณ 3 เดือนจะเข้าลงทุนในเงินฝาก Bank of China และ China Construction Bank Corporation ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (A/TRIS), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ประเทศไทย ที่ระดับ AA- และ A+ ตามลำดับ ด้านกองทุน KFF6MAR ซึ่งมีอายุกองทุนประมาณ 6 เดือน จะเข้าลงทุนในเงินฝาก Bank of China และ China Construction Bank Corporation ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และ BBB- ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการ ลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีเอช (KPPTF3MDH) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.50% ต่อปี