xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรไทยมองปัญหาการเมืองกดดัน ศก.-หุ้นไทย แนะชะลอลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.กสิกรไทยมองปัญหาการเมืองยังกดดันเศรษฐกิจและหุ้นไทยอยู่ แนะชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ล่าสุดส่งกองตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 กองทุน ชูผลตอบแทนสูงสุด

นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ (บลจ.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัญหาการเมืองภายในประเทศยังเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งความขัดแย้งที่ยืดเยื้อได้กดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภคซึ่งสะท้อนออกมาในดัชนีของเดือน ต.ค.อยู่ที่ระดับ 76.6 จุด ลดลงจากระดับ 77.9 จุดในเดือนก่อนหน้า

ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวร่วงลงตั้งแต่ต้นสัปดาห์หลังมีการประชุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก่อนที่จะฟื้นตัวในช่วงกลางสัปดาห์โดยมีแรงซื้อหุ้นคืนหลังราคาปรับตัวลดลงมาก และรัฐบาลเริ่มมีทีท่าจะไม่ผลักดันร่าง พ.ร.บ.ต่อไปอีก อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงไม่คลี่คลาย ซึ่งนักลงทุนจะต้องติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

โดย บลจ.กสิกรไทยแนะนำให้ผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงดังกล่าวไปก่อน หรือสามารถกระจายความเสี่ยงโดยเลือกลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทกำหนดอายุโครงการ เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ ในวันที่ 12-18 พฤศจิกายน 2556 บลจ.กสิกรไทยจะเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทกำหนดอายุโครงการต่อเนื่องอีก 3 กองทุน ทั้งอายุ 3 เดือน 6 เดือน และ 1 ปี พร้อมนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ได้แก่ กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีแอล (KFI3MDL) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.75% ต่อปี กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอคิว (KFF6MAQ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.00% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี ซีจี (KFF1YCG) ซึ่งให้โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.20% โดยผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี

สำหรับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทกำหนดอายุโครงการที่เสนอขายในสัปดาห์นี้ยังคงสามารถให้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับกลุ่มกองทุนที่เสนอขายไปในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีแอล (KFI3MDL) จะลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง และตราสารหนี้ Itau Unibanco S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และ BBB+ ตามลำดับ รวมถึงตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ประเทศไทยที่ระดับ AA- และ A+ ตามลำดับ อีกทั้งยังลงทุนเพิ่มเติมในเงินฝาก Standard Chartered Bank, สาขาฮ่องกง ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก S&P ที่ระดับ AA- ด้านตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เอคิว (KFF6MAQ) จะเข้าลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก China Construction Bank Corporation เงินฝาก Standard Chartered Bank, สาขาฮ่องกง และตราสารหนี้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย ด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และ BBB- ตามลำดับ

ส่วนกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี ซีจี (KFF1YCG) จะเข้าลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง ตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Itau Unibanco S.A., ประเทศบราซิล ด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังลงทุนเพิ่มเติมในเงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า และตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และ BBB ตามลำดับ โดยทั้ง 3 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการ ลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลักในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีจี (KPPTF3MDG) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.50% ต่อปี


กำลังโหลดความคิดเห็น