xs
xsm
sm
md
lg

บลจ.กสิกรไทย เสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ อายุโครงการ 2 ปี เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูง 3.50% (ข่าวประชาสัมพันธ์)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ในวันที่ 19-25 พฤศจิกายน 2556 บลจ.กสิกรไทย จะเสนอขายกองทุนเปิด เค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 2 ปี ซี (KFF2YC) ซึ่งเป็นกองทุนใหม่ที่มีอายุโครงการประมาณ 2 ปี แต่เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยผลตอบแทนประมาณการไว้ที่ 3.50% ต่อปี เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ลงทุนที่พร้อมลงทุนได้ในระยะที่นานขึ้น และสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝากของ Bank of China และ China Construction Bank Corporation ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และตราสารหนี้ที่ออกโดย Banco Santander (Brasil) S.A., Banco Bradesco S.A. และ Itau Unibanco S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ BBB, BBB+ และ BBB+ ตามลำดับ โดยกองทุนดังกล่าวจะมีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทุก 1 ปี พร้อมทั้งมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน

นายชัชชัย กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย ได้รับการตอบรับที่ดีจากการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝาก และการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศที่มีอายุใกล้เคียงกัน อีกทั้งในช่วงนี้สถานการณ์ของตลาดหุ้นขาดเสถียรภาพ เพราะนักลงทุนยังหวั่นกับเรื่องของมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทำให้ภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวน ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ก็ยังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ และสามารถตอบโจทย์ให้แก่นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ

นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทย ยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีเอ็ม (KFI3MDM) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.80% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เออาร์ (KFF6MAR) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.05% ต่อปี เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้นเพิ่มเติมด้วย โดยกองทุน KFI3MDM ซึ่งมีอายุกองทุนประมาณ 3 เดือน จะเข้าลงทุนในเงินฝาก Bank of China และ China Construction Bank Corporation ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (A/TRIS), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ประเทศไทย ที่ระดับ AA- และ A+ ตามลำดับ ด้านกองทุน KFF6MAR ซึ่งมีอายุกองทุนประมาณ 6 เดือน จะเข้าลงทุนในเงินฝาก Bank of China และ China Construction Bank Corporation ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ Banco BTG Pactual S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A และ BBB- ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ประเทศไทย ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมาก และต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทย จะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีเอช (KPPTF3MDH) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือน ของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.50% ต่อปี

ผู้ที่สนใจสามารถลงทุนกับกองทุน KFI3MDM, KFF6MAR, KFF2YC และ KPPTF3MDH ได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0-2673-3888 การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล นโยบายลงทุน ความเสี่ยง ผลการดำเนินงานของกองทุน และเอกสารเกี่ยวกับกองทุน KFI3MDM กองทุน KFF6MAR กองทุน KFF2YC และกองทุน KPPTF3MDH ได้ที่ www.kasikornasset.com หรือ บลจ.กสิกรไทย หรือธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือขอข้อมูลดังกล่าวจากบุคคลที่เสนอขายกองทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุน KFI3MDM กองทุน KFF6MAR และกองทุน KFF2YC มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลเงินของหลักทรัพย์ที่ลงทุน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

• บริหารเงินออมอย่างชาญฉลาด กับ “เอไอเอ บำนาญ สมาร์ท” บำนาญให้คุณเต็มที่ถึงอายุ 90 ปี

เอไอเอ ประเทศไทย ส่งเสริมคนไทยออมเงินอย่างชาญฉลาด เปิดตัว “เอไอเอ บำนาญ สมาร์ท” (AIA Annuity Smart) กรมธรรม์บำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้ มีให้เลือก 3 รูปแบบ เน้นจุดเด่นตรงสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดถึง 300,000 บาทกรณีไม่มีกรมธรรม์ประกันชีวิตประเภทอื่น มั่นใจลูกค้าให้การตอบรับดี เนื่องจากปัจจุบันลูกค้ามีการเล็งเห็นถึงความสำคัญของการออม เพื่อรองรับแผนการเกษียณระยะยาว และตอบรับช่วงหักลดหย่อนภาษีปลายปี

นายสัตยา เทพบรรเทิง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต บริษัท เอไอเอ จำกัด เปิดเผยว่า “ปัจจุบันคนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการเตรียมตัวเพื่อรองรับการเกษียณกันมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของเอไอเอ ในการมอบความคุ้มครอง และความมั่นคงในการสร้างอนาคตในระยะยาว ในที่นี้หมายถึงการมีเงินประจำไว้ใช้ยามเกษียณ โดยสิ่งสำคัญในการวางแผนการเกษียณ คือ ลูกค้าควรจะมีเป้าหมายการออมเงินที่ชัดเจน และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน รวมถึงการใช้สิทธิประโยชน์ด้านลดหย่อนภาษีอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในช่วงปลายปี

“เพราะเราเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงในช่วงชีวิตวัยทำงาน ที่มุ่งสร้างความมั่นคง เอไอเอ จึงนำเสนอกรมธรรม์บำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้ 3 แบบ ได้แก่ เอไอเอ บำนาญ สมาร์ท ณ อายุครบ 55, 60 และ 65 โดยบริษัทรับประกันลูกค้าทุกรายโดยไม่ตรวจสุขภาพ เพียงลูกค้ามีอายุรับประกันภัยระหว่าง 20-50 ปี”

จุดเด่นของกรมธรรม์ “เอไอเอ บำนาญ สมาร์ท” คือ จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 300,000 บาท กรณีไม่มีกรมธรรม์ประกันชีวิตประเภทอื่น และยังเป็นแบบบำนาญที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพ ได้รับความคุ้มครองชีวิตช่วงก่อนรับเงินบำนาญ 105% ของเบี้ยประกันภัยสะสมที่ชำระมาทั้งหมด (ไม่รวมเบี้ยประกันภัยของสัญญาเพิ่มเติม) หรือเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์แล้วแต่มูลค่าใดจะสูงกว่า นอกจากนี้ ในช่วงรับเงินบำนาญ ลูกค้าจะได้รับเงินบำนาญ 15% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันที่ครบรอบปีกรมธรรม์ที่อายุครบ 55, 60 หรือ 65 ปี จนถึงอายุ 90 ปี”

หากต้องการข้อมูลกรมธรรม์ “เอไอเอ บำนาญ สมาร์ท” เพิ่มเติม ติดต่อตัวแทนประกันชีวิตเอไอเอ หรือ AIA Call Center 1581 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

*เบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ เอไอเอ บำนาญ สมาร์ท ณ อายุ (55, 60, 65) (บำนาญแบบลดหย่อนภาษีได้) (ไม่รวมเบี้ยประกันภัยของสัญญาเพิ่มเติม) สามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท โดย 100,000 บาทแรก เป็นไปตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 172) และ 200,000 บาทถัดไป (แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้พึงประเมิน และเมื่อรวมเงินที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุน กบข. หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วย ร.ร.เอกชน และเงินได้ที่จ่ายเป็นค่าซื้อหน่วยลงทุน RMF ต้องไม่เกิน 500,000 บาท) เป็นไปตามข้อกำหนดของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 194)
กำลังโหลดความคิดเห็น