xs
xsm
sm
md
lg

ชวนลงทุน iBALANCED ซีไอเอ็มบีคาดหุ้นไทยสิ้นปียังขึ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.ซีไอเอ็มบีแนะลงทุนกองบาลานซ์อินคัม หลังผลงานแจ่มทำผลตอบแทนช่วงหุ้นผันผวนได้ถึง 5.98% ชูกลยุทธ์เลือกหุ้นพื้นฐาน และผลประกอบการดีเป็นหลัก พร้อมคาดหุ้นไทยสิ้นปียังปรับตัวได้อีก เหตุเงินฝรั่งยังไหลเข้าลงทุน แถมมีเมกะโปรเจกต์ภาครัฐและกองทุน LTF และ RMF ส่งท้ายปีช่วยหนุน

    นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า การลงทุนในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนของกองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม (CIMB-PRINCIPAL iBALANCED) ถือว่าสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยหลังจากเปิดขายกองทุนในช่วงต้นเดือนกันยายน 2556 ที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุน โดยนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (6 ก.ย.56) ถึง 18 ตุลาคม 56 หรือประมาณ 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.98%* (เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานในช่วงเวลาเดียวกันที่ 6.96%)
    
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีแม้จะต้องเผชิญกับภาวะความผันผวนของตลาดมาจากการบริหารการลงทุนแบบ Active Managementของผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ รวมถึงการจับจังหวะการลงทุนที่ถูกต้องเหมาะสม โดยเน้นการคัดเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการดี และมีแนวโน้มการเติบโตในอัตราสูง
    
“นอกจากวิธีการเลือกหุ้นและปรับน้ำหนักแล้ว จุดเด่นในการบริหารของกองทุนในรูปแบบ Rebalancing จะปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างสองสินทรัพย์หลักคือหุ้นและตราสารหนี้อย่างสมดุลในกองทุนเดียวกัน ซึ่งจากการเก็บข้อมูลเชิงสถิติย้อนหลังและการศึกษาเชิงลึก สัดส่วนที่ทาง บลจ.เห็นว่าเหมาะสมต่อตลาดการลงทุนไทยและสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงได้อย่างต่อเนื่องในทุกๆ ภาวะตลาดคือสัดส่วนหุ้นและตราสารหนี้ที่ประมาณ 65% และ 35%”นายจุมพลกล่าว
    
นายจุมพล กล่าวอีกว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียในช่วงที่ผ่านมาสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงมาตรการการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ (QE) ต่อเนื่อง และการขยายเพดานหนี้ที่สุดท้ายรัฐสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาที่สามารถตกลงกันให้รัฐบาลกลางสามารถกู้ยืมเพื่อใช้จ่ายด้านการคลัง (ขยายเพดานหนี้) ชั่วคราวไปจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557 รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจจีนอย่างมีเสถียรภาพ และจะเห็นได้จาก GDP ณ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 7.8% ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และมุ่งหน้าที่จะรักษาการเติบโตตามแผนที่วางไว้ที่ 7.5% ในสิ้นปีนี้ โดยคาดว่าจะมีมาตรการมาช่วยกระตุ้นการเติบโตการบริโภคภายในประเทศ จากปัจจัยเชิงบวกส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อ โดยตลอดเดือนตุลาคม (18 ตุลาคม 2556) มียอดเงินซื้อสุทธิ 1,718 ล้านบาท
    
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตามในระยะสั้น คือ สถานการณ์การเมืองและการชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ในการคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่จะเข้าประชุมสภาในวาระ 2 และ 3 ในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปีหน้าจะมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ ในเรื่องความไม่ชัดเจนเรื่องกรอบเวลาการปรับลด QE ที่คาดการณ์ว่าจะกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า และการพิจารณาการขยายเพดานหนี้ที่จะสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2557 บลจ.คาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยจะยังคงมีความผันผวนจากความไม่แน่นอนและมีแนวโน้มจะยังคงปกคลุมตลาดการลงทุนยาวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า
    
 “หากมองภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจนถึงสิ้นปี 2556 เรายังคงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ จากเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติที่ยังคงเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่จะมาจากการขับเคลื่อนของการลงทุนภาครัฐเป็นหลักผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ และมาตรการที่จะกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ และเม็ดเงินอีกส่วนหนึ่งจะมาจากการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF โดย บลจ.คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยสิ้นปี 2556 จะอยู่ที่ประมาณ 1,520-1,560 จุด โดยดัชนีตลาด ณ 21 ก.ย. 56 อยู่ที่ 1,448 จุด ซึ่งมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น 5-8% แต่หากมองภาพการลงทุนในระยะสั้น นักลงทุนจะต้องติดตามสถานการณ์การเมืองในประเทศที่จะทำให้ตลาดมีความผันผวนเป็นระยะ ดังนั้น นักลงทุนอาจพิจารณา “ทยอยลงทุน” เมื่อตลาดหุ้นมีการปรับฐานและแนะนำให้ถือลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี”
   


กำลังโหลดความคิดเห็น