“Government Shutdown” หรือการประกาศปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลกลางบางส่วนของสหรัฐฯ ถือเป็นข่าวที่มีผลทั้งแง่บวกและลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และยังคงต้องจับตาสภาคองเกรสในการผ่านร่างงบประมาณต่อไป แต่ก็มีผลในด้านดีบ้างเหมือนกันต่อแรงกดดันต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในการคงมาตรการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินหรือคิวอี ต่อไป ทำให้นักลงทุนมีความผ่อนคลายลงบ้าง
ส่วนบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยส่งท้ายสัปดาห์ (4 ต.ค.) พบว่าตลาดหุ้นไทยปิดตัวลดลง 1.46 จุด ที่ระดับ 1,427.72 จุด มูลค่าการซื้อขาย 31,447.37 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 1,430.80 จุด และต่ำสุดที่ 1,418.51 จุด ส่วนสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไรคงต้องดูปัจจัยที่กล่าวไปแล้วข้างต้นเป็นหลัก
หันมาดูกองทุนที่น่าสนใจสัปดาห์นี้กันบ้าง เริ่มต้นที่ บลจ.ธนชาต ที่เปิดขายกองทุนเปิดธนชาต Mixed Income Fund 2 (T-MixedIncome2) เป็นกองทุนรวมผสมเพิ่มอีกหนึ่งกองทุนในระหว่างวันที่ 1-8 ตุลาคม 2556
สำหรับกองทุนนี้เป็นกองทุนที่ 2 หลังจากกองทุนแรกได้รับการตอบรับอย่างดีจนเต็มก่อนวันปิดไอพีโอเสียอีก ส่วนจุดเด่นของกองทุนนี้ บุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด บอกว่า กองทุนนี้เหมาะสำหรับเป็นทางเลือกช่วงที่การลงทุนผันผวนเป็นอย่างมาก โดยภาพการลงทุนที่ยังไม่ชัดเจนนี้ สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการทางออกในช่วงที่ดอกเบี้ยยังคงต่ำไปอีกนาน และตราสารหนี้ต่างประเทศบางประเทศที่อาจจะให้ผลตอบแทนสูง กองทุนผสมอายุ 1 ปี ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนจะกำหนดสัดส่วนผสมการลงทุนในหุ้นไทย ตราสารหนี้ไทย และหรือต่างประเทศคุณภาพดีจะสามารถให้ผลตอบแทนน่าสนใจตามสภาวะการลงทุนในช่วงเวลานั้นๆ
ส่วนอีกกองเป็นของ บลจ.ทิสโก้ ประสบความสำเร็จจากกองทุนทริกเกอร์ฟันด์อย่างล้นหลาม เปิดขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% # 15” ไอพีโอตั้งแต่ 2-9 ต.ค. 56
หลายคนคงคุ้นเคยกับกองทุนลักษณะนี้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะของ บลจ.ทิสโก้ ซึ่งล่าสุดกองทุนเปิด ทิสโก้ ไทย อิควิตี้ ทริกเกอร์ 8% กองที่ 14 ใช้เวลาบริหารเพียง 2 สัปดาห์เท่านั้นก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 8% แล้ว
สาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด บอกด้วยว่า “บริษัทยังมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย แม้ช่วงที่ผ่านมาภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลดลงจากความกังวลต่อการปรับเปลี่ยนนโยบาย QE ของสหรัฐฯ และตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่อาจปรับตัวลดลง โดยมองว่าในระยะยาวเศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ผลกำไรของหุ้นไทยยังคงมีการเติบโตที่โดดเด่นในหลายๆ กลุ่มอุตสาหกรรม ดังนั้นในช่วงที่หุ้นไทยมีการปรับฐานจึงเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนและน่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ลงทุนได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ทิ้งท้ายด้วยคำแนะนำดีๆ จากกูรูนักลงทุนอย่าง เจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล แนะนำว่า แนวโน้มการลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 แนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นและตราสารเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ คล่องตัวสูง สามารถลงทุนได้อย่างต่อเนื่องหรือสามารถใช้เป็นที่พักเงินลงทุนได้ดี ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ในระยะสั้นให้คำแนะนำคงน้ำหนักการลงทุน กล่าวคือ ถ้าผู้ลงทุนถือครองสินทรัพย์เหล่านี้ในสัดส่วนที่เหมาะสมแล้วให้ถือต่อไป ส่วนผู้ลงทุนที่ไม่มีสินทรัพย์เหล่านี้เลยและสามารถรับความเสี่ยงได้แนะนำให้ทยอยซื้อลงทุน
ส่วนมุมมองการลงทุนต่อตลาดโลกต่อเนื่องไปถึงปีข้างหน้า เรามีมุมมองเพิ่มน้ำหนักต่อการลงทุนหุ้นในประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐฯ จากแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นที่มีการใช้ทั้งนโยบายการเงินการคลัง และการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีที่ญี่ปุ่นจะหลุดพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยเรื้อรังที่เป็นต่อเนื่องมานับสิบปี ในด้านเอเชีย ทางกลุ่มมีมุมมองคงน้ำหนักการลงทุนในหุ้นเอเชียจากเศรษฐกิจที่ยังเติบโตได้เกณฑ์ที่ดี แต่ความเสี่ยงเรื่องภาวะเงินทุนไหลออกยังคงมีอยู่บ้าง