บลจ.กสิกรไทยเผย กองทุนส่วนบุคคลเติบโตอยู่ที่ 64,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.92% หลังรุกจับกลุ่มบริษัทเอกชน ขณะที่กองสำรองเลี้ยงชีพอยู่ที่ 150,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าเป็นที่ 1 ต่อไปในทั้ง 2 ธุรกิจ
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 56 ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 64,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 55 ที่ 61,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.92% ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีสินทรัพย์สุทธิไม่เปลี่ยนแปลงที่ 151,000 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงเป้าหมายหลักในปีนี้ที่จะครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในทั้ง 2 ธุรกิจเอาไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีบริษัทเอกชนตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ ราชการ สหกรณ์ มูลนิธิ และมหาวิทยาลัยต่างๆ หันมาใช้บริการกองทุนส่วนบุคคลมากขึ้น และกองทุนที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 500 ล้านบาทปัจจุบันก็ไม่ได้ใช้บริการ บลจ.เพียงเจ้าเดียวแล้ว นั่นทำให้โอกาสในการได้ธุรกิจของบริษัทมีมากขึ้นด้วยเช่นกันเพราะบริษัทเชื่อมั่นว่าลูกค้าจะต้องนึกถึงบริษัทด้วยเช่นกัน
ส่วนของบริษัทเอกชนที่สามารถเจาะตลาดได้นั้น เพราะบริษัทสามารถเข้าไปใช้ความเป็นมืออาชีพในการลงทุนในส่วนของสภาพคล่องหรือตราสารหนี้ได้ดีกว่า สามารถที่จะหาจังหวะซื้อขายเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัทเอกชนได้ เพราะส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้จะแค่ซื้อแล้วถือไว้เฉยๆ จึงทำให้กองทุนส่วนบุคคลสามารถไปเปิดตลาดธุรกิจในภาคเอกชนได้ในปัจจุบัน
ในขณะที่กลุ่มมหาวิทยาลัยจะเน้นให้บริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น อาจจะเป็นการผสมหุ้นเข้ามาเฉลี่ย 20-50% เพราะการออกนอกระบบก็ทำให้มหาวิทยาลัยเองต้องสนใจการบริหารจัดการเงินเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเช่นกัน หลายมหาวิทยาลัยสนใจแต่อาจจะต้องรอให้สภามหาวิทยาลัยอนุมัติก่อนเท่านั้นเอง
นายเกษตรยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตที่ดีมากในช่วง 5 ปี โตขึ้นมาประมาณ 3 เท่าจากที่เคยมีสินทรัพย์สุทธิ 50,000 ล้านบาท ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ 150,000 ล้านบาท ซึ่งหากแบ่งตามมูลค่าสินทรัพย์สุทธิแล้วจะแบ่งเป็นฐานลูกค้ารัฐวิสาหกิจ 65% และเอกชน 35% กลยุทธ์ที่สำคัญคือ
การสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอในระยะยาวให้แก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้บริหารกองทุนในการต่อสัญญากับฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่เกือบจะทั้ง 100% ในปีนี้ก็เช่นกัน และบริษัทเองคงไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ลูกค้ามีการจ้างผู้จัดการกองทุนบริหารร่วมแต่ประการใดเพราะปัจจุบันฐานลูกค้าของบริษัทก็เป็นลักษณะนั้นเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่การทำธุรกิจบริษัทคงไม่ลงไปแข่งขันด้านราคาเพราะการทำธุรกิจให้ดีก็คงต้องให้ตัวธุรกิจสามารถยืนอยู่ได้เพื่อคุณภาพในการบริหารเช่นเดียวกัน และในปีนี้ช่วง 8 เดือนแรกบริษัทมีฐานลูกค้าใหม่เข้ามาแล้วกว่า 300 บริษัท ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์จากสถิติค่าเฉลี่ยในอดีตจะอยู่ที่ปีละ 200 บริษัท เท่านั้น แต่นี่ยังไม่ถึงปีก็ได้มาแล้วกว่า 300 บริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจเป็นอย่างดี
“บริษัทมีความพร้อมในการนำเสนอบริการตามความต้องการของลูกค้า ในแง่ของทางเลือกการลงทุน (Employee’s Choice) เองบริษัทคงไม่ได้รุกมากเพราะขึ้นกับความรู้ความเข้าใจของลูกค้าด้วย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนโยบายที่มีไว้ให้เลือก รวมถึงบริษัทขนาดเล็กก็จะมาลงทุนผ่านกองทุนร่วมลงทุน (Pooled Fund) ไปแทน ซึ่งปัจจุบันนโยบายการลงทุนก็มีส่วนผสมต่างๆ เอาไว้ให้สมาชิกเลือกตามความต้องการอยู่แล้ว โดยในปีนี้บริษัทก็ยังมั่นใจว่าจะเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องแน่นอน”
นายเกษตร ชัยวันเพ็ญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 56 ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของบริษัทมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 64,000 ล้านบาท จากสิ้นปี 55 ที่ 61,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.92% ส่วนธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีสินทรัพย์สุทธิไม่เปลี่ยนแปลงที่ 151,000 ล้านบาท โดยบริษัทยังคงเป้าหมายหลักในปีนี้ที่จะครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในทั้ง 2 ธุรกิจเอาไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีบริษัทเอกชนตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ ราชการ สหกรณ์ มูลนิธิ และมหาวิทยาลัยต่างๆ หันมาใช้บริการกองทุนส่วนบุคคลมากขึ้น และกองทุนที่มีขนาดใหญ่มากกว่า 500 ล้านบาทปัจจุบันก็ไม่ได้ใช้บริการ บลจ.เพียงเจ้าเดียวแล้ว นั่นทำให้โอกาสในการได้ธุรกิจของบริษัทมีมากขึ้นด้วยเช่นกันเพราะบริษัทเชื่อมั่นว่าลูกค้าจะต้องนึกถึงบริษัทด้วยเช่นกัน
ส่วนของบริษัทเอกชนที่สามารถเจาะตลาดได้นั้น เพราะบริษัทสามารถเข้าไปใช้ความเป็นมืออาชีพในการลงทุนในส่วนของสภาพคล่องหรือตราสารหนี้ได้ดีกว่า สามารถที่จะหาจังหวะซื้อขายเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัทเอกชนได้ เพราะส่วนใหญ่บริษัทเหล่านี้จะแค่ซื้อแล้วถือไว้เฉยๆ จึงทำให้กองทุนส่วนบุคคลสามารถไปเปิดตลาดธุรกิจในภาคเอกชนได้ในปัจจุบัน
ในขณะที่กลุ่มมหาวิทยาลัยจะเน้นให้บริหารเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น อาจจะเป็นการผสมหุ้นเข้ามาเฉลี่ย 20-50% เพราะการออกนอกระบบก็ทำให้มหาวิทยาลัยเองต้องสนใจการบริหารจัดการเงินเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยเช่นกัน หลายมหาวิทยาลัยสนใจแต่อาจจะต้องรอให้สภามหาวิทยาลัยอนุมัติก่อนเท่านั้นเอง
นายเกษตรยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตที่ดีมากในช่วง 5 ปี โตขึ้นมาประมาณ 3 เท่าจากที่เคยมีสินทรัพย์สุทธิ 50,000 ล้านบาท ปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ 150,000 ล้านบาท ซึ่งหากแบ่งตามมูลค่าสินทรัพย์สุทธิแล้วจะแบ่งเป็นฐานลูกค้ารัฐวิสาหกิจ 65% และเอกชน 35% กลยุทธ์ที่สำคัญคือ
การสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอในระยะยาวให้แก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าให้บริหารกองทุนในการต่อสัญญากับฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่เกือบจะทั้ง 100% ในปีนี้ก็เช่นกัน และบริษัทเองคงไม่ได้รับผลกระทบจากการที่ลูกค้ามีการจ้างผู้จัดการกองทุนบริหารร่วมแต่ประการใดเพราะปัจจุบันฐานลูกค้าของบริษัทก็เป็นลักษณะนั้นเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว แต่การทำธุรกิจบริษัทคงไม่ลงไปแข่งขันด้านราคาเพราะการทำธุรกิจให้ดีก็คงต้องให้ตัวธุรกิจสามารถยืนอยู่ได้เพื่อคุณภาพในการบริหารเช่นเดียวกัน และในปีนี้ช่วง 8 เดือนแรกบริษัทมีฐานลูกค้าใหม่เข้ามาแล้วกว่า 300 บริษัท ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์จากสถิติค่าเฉลี่ยในอดีตจะอยู่ที่ปีละ 200 บริษัท เท่านั้น แต่นี่ยังไม่ถึงปีก็ได้มาแล้วกว่า 300 บริษัท ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่ลูกค้าให้ความไว้วางใจเป็นอย่างดี
“บริษัทมีความพร้อมในการนำเสนอบริการตามความต้องการของลูกค้า ในแง่ของทางเลือกการลงทุน (Employee’s Choice) เองบริษัทคงไม่ได้รุกมากเพราะขึ้นกับความรู้ความเข้าใจของลูกค้าด้วย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นนโยบายที่มีไว้ให้เลือก รวมถึงบริษัทขนาดเล็กก็จะมาลงทุนผ่านกองทุนร่วมลงทุน (Pooled Fund) ไปแทน ซึ่งปัจจุบันนโยบายการลงทุนก็มีส่วนผสมต่างๆ เอาไว้ให้สมาชิกเลือกตามความต้องการอยู่แล้ว โดยในปีนี้บริษัทก็ยังมั่นใจว่าจะเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องแน่นอน”