เอไอเอโชว์ครึ่งปีกวาดเบี้ยปีแรกแล้ว 8 พันล้านบาท ระบุหุ้นไทยผันผวนต่อ แต่ยังคงสัดส่วนลงทุนเดิม 15% แนะจับตาการเมือง-เศรษฐกิจชะลอตัวปัจจัยลบฉุดหุ้นไทย เล็งปีหน้าโยกเงินหนีลงทุนต่างประเทศแน่หากหลักเกณฑ์การลงทุนใหม่บังคับใช้ เชื่อหุ้นสหรัฐ-ญี่ปุ่นน่าลงทุนหลังเห็นสัญญาณเงินทุนไหลกลับจากการเลิกมาตรการคิวอี
นายซาลูน แธม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอไอเอ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากตนเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วานนี้ (1 สิงหาคม 2556) นั้น แผนการดำเนินงานหลังจากนี้จะเน้นการใช้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ลูกค้า โดยจะพัฒนาทั้งตัวแทนจำหน่าย ช่องทางการจำหน่าย เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “เข้าใจชีวิต เข้าใจคุณ”
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยประกันภัยใหม่รับปีแรกเข้ามาประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 9%
ด้าน นายอนุชา เหล่าขวัญสถิตย์ ผู้จัดการทั่วไป และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน บริษัท เอไอเอ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์การลงทุนอยู่ที่ 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ 85% และการลงทุนในหุ้น 15% โดยในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้นไทยมีความผันผวนสูงมาก ซึ่งบริษัทได้มีการขายทำกำไรในหุ้นบางตัวออกไป อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการลงทุนในหุ้นจะยังอยู่ที่ 15% ตามเดิม
“ที่ผ่านมาเราขายทำกำไรไปบ้างสำหรับหุ้นที่ค่อนข้างแพงเมื่อดูจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เมื่อขายออกไปแล้วเงินที่เข้ามาเราก็เข้าซื้อในหุ้นที่มองว่าราคาไม่แพงเอาไว้ทำให้พอร์ตหุ้นยังคงสัดส่วนเดิมอยู่ โดยผลตอบแทนในปีนี้ถ้าหุ้นสามารถทำกำไรได้ดีก็อาจอยู่ที่ 7% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาครึ่งปีแรกตัวเลขก็ออกมาค่อนข้างดี และคาดว่าจะอยู่ระดับ 6%” นายอนุชากล่าว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนในหุ้นไทยจะยังผันผวน โดยที่ผ่านมาจะเห็นนักลงทุนมีการเทขายเพื่อทำกำไรต่อเนื่องตั้งแต่กรอบดัชนีที่ 1,300 จุดตอนปลายถึง 1,500 จุด ซึ่งปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ ปัจจัยการเมือง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย กับเรื่องของวาระต่างๆ ในการประชุมสภาที่กำลังจะถึง
ขณะที่เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวชัดเจนขึ้น โดยจะเห็นได้จากการบริโภคที่ลดลงจากภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกที่ยังไม่สามารถปรับตัวดีขึ้นมากนัก แต่ก็ยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่บ้างกับเรื่องของการท่องเที่ยวที่จะเห็นภาพรวมที่ดีขึ้นหลังจากนี้
นายอนุชากล่าวอีกว่า จากความผันผวนของหุ้นภายในประเทศที่สูงขึ้นบริษัทจึงเตรียมที่จะขยายการลงทุนไปในหุ้นต่างประเทศ แต่ต้องรอการแก้หลักเกณฑ์การลงทุนใหม่ที่คณะกรรมการกำกับและดูแลการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำลังอยู่ในระหว่างขออนุมัติจากกระทรวงการคลังก่อน ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้นต่างประเทศของบริษัทประกันภัยยังไม่เปิดกว้าง โดยหากบริษัทใดต้องการออกไปลงทุนจะต้องมีการขออนุมัติเป็นกรณี แต่หลักเกณฑ์การลงทุนใหม่จะสามารถทำได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องขออนุมัติอีกหากมีสัดส่วนการลงทุนอยู่ในระดับ 15% ของสินทรัพย์
“ที่ผ่านมาเรามีการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ แต่หุ้นเราไม่เคย และเชื่อว่าปีหน้าคงจะสามารถไปลงทุนได้แล้ว ซึ่งแนวโน้มในต่างประเทศถึงแม้จะผันผวนแต่การยกเลิกมาตรการคิวอีของสหรัฐฯ จะทำให้เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยกลับไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยปัจจัยนี้เองน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในต่างประเทศและลดความผันผวนของการลงทุนได้”
นายซาลูน แธม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอไอเอ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากตนเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วานนี้ (1 สิงหาคม 2556) นั้น แผนการดำเนินงานหลังจากนี้จะเน้นการใช้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง และสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ลูกค้า โดยจะพัฒนาทั้งตัวแทนจำหน่าย ช่องทางการจำหน่าย เพื่อตอบโจทย์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด “เข้าใจชีวิต เข้าใจคุณ”
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยประกันภัยใหม่รับปีแรกเข้ามาประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 9%
ด้าน นายอนุชา เหล่าขวัญสถิตย์ ผู้จัดการทั่วไป และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุน บริษัท เอไอเอ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์การลงทุนอยู่ที่ 6 แสนล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ 85% และการลงทุนในหุ้น 15% โดยในช่วงที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้นไทยมีความผันผวนสูงมาก ซึ่งบริษัทได้มีการขายทำกำไรในหุ้นบางตัวออกไป อย่างไรก็ตาม สัดส่วนการลงทุนในหุ้นจะยังอยู่ที่ 15% ตามเดิม
“ที่ผ่านมาเราขายทำกำไรไปบ้างสำหรับหุ้นที่ค่อนข้างแพงเมื่อดูจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เมื่อขายออกไปแล้วเงินที่เข้ามาเราก็เข้าซื้อในหุ้นที่มองว่าราคาไม่แพงเอาไว้ทำให้พอร์ตหุ้นยังคงสัดส่วนเดิมอยู่ โดยผลตอบแทนในปีนี้ถ้าหุ้นสามารถทำกำไรได้ดีก็อาจอยู่ที่ 7% ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาครึ่งปีแรกตัวเลขก็ออกมาค่อนข้างดี และคาดว่าจะอยู่ระดับ 6%” นายอนุชากล่าว
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนในหุ้นไทยจะยังผันผวน โดยที่ผ่านมาจะเห็นนักลงทุนมีการเทขายเพื่อทำกำไรต่อเนื่องตั้งแต่กรอบดัชนีที่ 1,300 จุดตอนปลายถึง 1,500 จุด ซึ่งปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือ ปัจจัยการเมือง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย กับเรื่องของวาระต่างๆ ในการประชุมสภาที่กำลังจะถึง
ขณะที่เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณการชะลอตัวชัดเจนขึ้น โดยจะเห็นได้จากการบริโภคที่ลดลงจากภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น และการส่งออกที่ยังไม่สามารถปรับตัวดีขึ้นมากนัก แต่ก็ยังมีแนวโน้มที่ดีอยู่บ้างกับเรื่องของการท่องเที่ยวที่จะเห็นภาพรวมที่ดีขึ้นหลังจากนี้
นายอนุชากล่าวอีกว่า จากความผันผวนของหุ้นภายในประเทศที่สูงขึ้นบริษัทจึงเตรียมที่จะขยายการลงทุนไปในหุ้นต่างประเทศ แต่ต้องรอการแก้หลักเกณฑ์การลงทุนใหม่ที่คณะกรรมการกำกับและดูแลการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำลังอยู่ในระหว่างขออนุมัติจากกระทรวงการคลังก่อน ซึ่งที่ผ่านมาการลงทุนในหุ้นต่างประเทศของบริษัทประกันภัยยังไม่เปิดกว้าง โดยหากบริษัทใดต้องการออกไปลงทุนจะต้องมีการขออนุมัติเป็นกรณี แต่หลักเกณฑ์การลงทุนใหม่จะสามารถทำได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องขออนุมัติอีกหากมีสัดส่วนการลงทุนอยู่ในระดับ 15% ของสินทรัพย์
“ที่ผ่านมาเรามีการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ แต่หุ้นเราไม่เคย และเชื่อว่าปีหน้าคงจะสามารถไปลงทุนได้แล้ว ซึ่งแนวโน้มในต่างประเทศถึงแม้จะผันผวนแต่การยกเลิกมาตรการคิวอีของสหรัฐฯ จะทำให้เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทยกลับไปยังตลาดหุ้นสหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยปัจจัยนี้เองน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนในต่างประเทศและลดความผันผวนของการลงทุนได้”
