เดาใจไม่ถูกจริงๆ กับท่าทีของเฟดที่กลับลำหันมาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ต่อไปอีกระยะ หลังจากเคยประกาศว่าจะทยอยหยุดมาตรการนี้และสิ้นสุดได้ในปีหน้า โดยให้เหตุผลว่าตัวเลขที่ออกมายังไม่ชัดเจนนักว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว
ที่แน่นอนหุ้นไทยและภูมิภาคเอเชียเด้งรับไปเรียบร้อยแล้ว ดูพอร์ตส่วนใหญ่เริ่มเห็นสีเขียวกันบ้างแต่บางท่านยังบ่นแบบคิ้วชนกันว่ายังติดดอยอยู่เพราะซื้อมาแพง เอาเป็นว่าคอยดูกันต่อไปว่าเศรษฐกิจไทยที่ว่าแข็งแกร่งและปัจจัยเรื่องผลประกอบการของบริษัทจะช่วยดันหุ้นไทยปลายปีนี้ไปถึงไหน
หันมาดูเรื่องกองทุนรวมกันหน่อยเพราะเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งกับการเติบโตของธุรกิจ หลังจากผ่านไป 10 ปีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นถึง 2.7 ล้านล้านบาท จากตอนเริ่มต้นในปี 2546 อยู่ที่ 6.8 ล้านบาทเท่านั้น
งานนี้ นายสมจินต์ ศรไพศาล ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน บอกอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว สัดส่วนของคนไทยที่ใช้กองทุนรวม หรือสัดส่วนของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมเมื่อเทียบกับฐานเงินฝาก หรือ GDP ยังอยู่ในระดับที่สามารถพัฒนาและเติบโตขึ้นได้
เอาใจช่วยกันต่อไปแต่ไม่ใช่แค่อยากให้ธุรกิจนี้โตเท่านั้น เพราะที่ต้องการมากที่สุดคือการได้เห็นคนไทยหันมาใส่ใจวางแผนเรื่องการเงินกันมากขึ้นเท่านั้นเอง
ส่วนสัปดาห์ที่ผ่านมาแวดวงกองทุนรวมถือว่ามีกองทุนออกมาพอสมควร ทั้งกองทุนตราสารหนี้และกองทุนหุ้น เริ่มกันที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ฟินันซ่าออกกองทุนตราสารหนี้ 6 เดือนเป็นทางเลือกแก่ลูกค้า คือ กองทุนเปิดฟินันซ่าตราสารหนี้พลัสโรลโอเวอร์ 6 เดือน 4 (FAM FIPR6M4) โดยมีอัตราผลตอบแทนโดยประมาณ 2.85% ต่อปี เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 9-16 ก.ค. 2556 โดยสินทรัพย์ในกองทุนบางส่วนจะลงทุนเป็นเงินฝากธนาคารต่างประเทศและในประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับที่ลงทุนได้ขึ้นไป
อีกค่ายเป็นของ บลจ.กรุงศรี อยู่ระหว่างการเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M66 (KFFIX6M66) วันที่ 9-15 ก.ค. 56 อายุประมาณ 6 เดือน และนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 2.70% ต่อปี โดยมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่กองทุนหุ้นใหม่เอี่ยมที่เปิดขายมาจาก บลจ.ฟิลลิป ได้แก่ “กองทุนเปิดฟิลลิปตราสารทุน” (PEQ) เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ ผลตอบแทนสูง เปิดขายระหว่างวันที่ 8-17 ก.ค. 56 นี้
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟิลลิป บอกเลยว่า ระดับดัชนี 1,400 จุดถือเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุน เพราะมองว่าการปรับขึ้นในระดับ 100 จุดของตลาดหุ้นไทยยังเป็นไปได้ในเรื่องของการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นั้นมองว่าเป็นเรื่องที่ดี แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณฟื้นตัวซึ่งย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย และด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดีโอกาสจะเห็นตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ในอนาคตก็มีเช่นกัน และในช่วงครึ่งหลังของปีตลาดคงจะยังปรับฐานไปอีก 3-4 เดือน ถือเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนในหุ้นคุณภาพดีในราคาที่ไม่แพงนัก
สุดท้าย สัปดาห์หน้าคงต้องนั่งลุ้นหุ้นไทยกันต่อว่าจะไปต่อได้มากน้อยขนาดไหน หลังจากปิดตลาดบวกไปในโค้งสุดท้ายของสัปดาห์ ต้องยอมรับเลยว่าหุ้นไทยตอนนี้มันผันผวนจริงๆ
