นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะยาว และเชื่อมั่นว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ณ ระดับราคาในปัจจุบันยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอกประเทศที่เข้ามากระทบอยู่บ้าง เช่น การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มลดขนาดการอัดฉีดสภาพคล่องลง ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแรงเทขายออกมามาก
โดยนักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 4.2 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงต้นเดือน มิ.ย. ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนต่างชาติจะขายทำกำไร เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2555 เป็นระยะเวลาประมาณ 10 เดือน และการที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงปลายเดือน พ.ค.
อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค และแนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะต่อความเสี่ยงที่ตนเองสามารถรับได้ โดยอาจจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากจังหวะนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวเพราะพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง
“ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ปรับลดลงมาแล้วกว่า 200 จุด หรือลดลงถึง 16-17% นับจากจุดสูงสุดที่ 1,650 จุด และตลาดมีแนวโน้มที่จะมีความผันผวนต่ออีก 1-3 เดือน โดยหลังจากที่มีความชัดเจนของการดำเนินการลดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของไทยในไตรมาสที่ 2/2556 แล้ว ตลาดจะกลับมามองปัจจัยพื้นฐานระยะยาวมากขึ้น และมีโอกาสที่เงินลงทุนจากต่างประเทศจะกลับเข้ามาที่ตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง”
นายฉัตรพียังกล่าวอีกว่า สำหรับการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นการลงทุนระยะยาวที่ผู้ลงทุนควรทยอยลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost av : DCA) โดยไม่ต้องรอซื้อในช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลงต่ำสุด เพราะการคาดการณ์ว่าจุดใดเป็นจุดที่ดัชนีต่ำสุดนั้นทำได้ยาก อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรให้ความสำคัญต่อวัตถุประสงค์ในการลงทุน นโยบายการลงทุน และความเสี่ยงที่ตนสามารถรับได้ รวมถึงพิจารณาผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุน โดยกองทุนที่ดีควรมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ ช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน ปรากฏว่ามีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของกองทุนหุ้น กองทุน LTF และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น โดยมีจำนวนลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นสูงถึง 21.58% และมีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มสูงขึ้น 17.10% จากไตรมาสแรกของปี 2556 (ข้อมูล ณ 21 มิ.ย. 56) สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ผู้ลงทุนมอบให้แก่บริษัท โดยกองทุนที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล (KFLTFDIV) และกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผลเพื่อการเลี้ยงชีพ (KFDIVRMF) ซึ่งมีผลตอบแทนย้อนหลังที่สูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั้งในส่วนของผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี
ขณะเดียวกัน กองทุนหุ้นทุกกองของ บลจ.กรุงศรีมีการบริหารแบบแอ็กทีฟ ใช้การวิเคราะห์เจาะลึกเพื่อหามูลค่าแท้จริงของหลักทรัพย์และการให้น้ำหนักการลงทุนอย่างเหมาะสม แต่ไม่ใช่แอ็กทีฟในเชิงของการซื้อขาย มีการปรับพอร์ตตามความเหมาะสม เน้นลงทุนในกิจการที่มีความมั่นคง และในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความมั่งคั่งด้วยผลกำไรที่ดี โดยผลกำไรดังกล่าวต้องไม่ใช่การเติบโตแบบฉาบฉวย แต่ต้องเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรีจะมุ่งมั่นรักษามาตรฐานการจัดการเพื่อสร้างโอกาสของการรับผลตอบแทนที่ดีภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นสำคัญ