บลจ.ฟิลลิปมองกลุ่มอาเซียน ศก.ยังเติบโตได้ดี มองหุ้นไทยปีนี้ไม่เกิน 1,650 จุด ให้น้ำหนักกลุ่มแบงก์ ก่อสร้าง แนะระดับ 1,400 จุดเข้าทยอยซื้อ เตรียมออกกองทุนหุ้น “กองทุนเปิดฟิลลิปตราสารทุน” (PEQ) เน้นหุ้นขนาดใหญ่ ผลตอบแทนสูง
นายวรรธนะ วงศ์สีนิล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ฟิลลิป เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์สุทธิประมาณ 700-800 ล้านบาท มีฐานลูกค้าเติบโตขึ้นตามลำดับใกล้แตะ 1,800 บัญชี ซึ่งภายในสิ้นปีนี้คาดว่าน่าจะถึง 2,000 บัญชีได้ ล่าสุดบริษัทเตรียมจะเสนอขาย กองทุนเปิดฟิลลิปตราสารทุน (PEQ) ระหว่างวันที่ 8-17 ก.ค. 56 นี้
โดยมีจุดเด่นเน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ดี และมีบรรษัทภิบาล โดยบริษัทมองว่าตลาดหุ้นในเอเชียโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนรวมทั้งประเทศไทยยังเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจลงทุนที่สุดเพราะเศรษฐกิจดีกว่าสหรัฐฯ และยุโรปชัดเจน การขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นเรื่องปกติเพราะช่วงที่ผ่านมาเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาในเอเชียเป็นจำนวนมากและได้ผลตอบแทนไปพอสมควร ซึ่งมองว่าแรงขายจากต่างชาติโดยเฉพาะในส่วนของเงินร้อนที่ออกไปถึงจุดหนึ่งตลาดหุ้นในเอเชียก็จะเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้นและทยอยเข้าลงทุนได้
เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ทางกลุ่มฟิลลิปเองยังคงให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าดัชนีเทียบวัดและมีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยอยู่
ทั้งนี้ มองว่าระดับดัชนี 1,400 จุดถือเป็นระดับที่น่าสนใจลงทุน เพราะมองว่าการปรับขึ้นในระดับ 100 จุดของตลาดหุ้นไทยยังเป็นไปได้ในเรื่องของการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) นั้นมองว่าเป็นเรื่องที่ดี แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณฟื้นตัวซึ่งย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย และด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดีโอกาสจะเห็นตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ในอนาคตก็มีเช่นกัน และในช่วงครึ่งหลังของปีตลาดคงจะยังปรับฐานไปอีก 3-4 เดือน ถือเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนในหุ้นคุณภาพดีในราคาที่ไม่แพงนัก
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุนรวม บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า กองทุน PEQ จะมีสไตล์การลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนฟิลลิปหุ้นระยะยาว (P-LTF) ที่เน้นการเลือกหุ้นโดยมองจากภาพเศรษฐกิจใหญ่ลงมาสู่ตัวอุตสาหกรรมและรายบริษัท ซึ่งจะเน้นหุ้นพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูงลงมาถึงหุ้นขนาดกลาง โดยจะเลี่ยงหุ้นที่เป็นวัฏจักร เช่น พลังงานและปิโตรเคมี เป็นต้น ซึ่งกองทุน P-LTF ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีติด 1 ใน 10 ของกองทุนที่มีผลงานดีในรอบ 3 ปีที่ผ่านมาเช่นกัน แม้จะไม่ได้ใช้สไตล์การเลือกหุ้นแบบ Bottom up ก็ตาม การเลี่ยงหุ้นวัฏจักรก็มีผลดีต่อผลงานของกองทุนในช่วงที่ผ่านมา กรณีกลุ่มพลังงานถ้าจะลงทุนก็จะเลี่ยงไปลงทุนหุ้นไฟฟ้าหรือประปาแทนหุ้นในกลุ่มน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
“ตลาดหุ้นไทยปีนี้คงไม่ได้เห็นจุดสูงสุดใหม่ โอกาสทะลุ 1,650 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมคงยากในปีนี้ และตลาดยังคงเคลื่อนไหวออกข้างในขาลง (sideway down) โดยมีความเสี่ยงที่จะลงไปทดสอบแนวรับ 1,350 จุดอีกครั้ง ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนในกองหุ้นประหยัดภาษียังไม่ต้องรีบ ให้แบ่งเงินแล้วทยอยเข้าลงทุนจะดีกว่า” นายสานุพงศ์กล่าว