xs
xsm
sm
md
lg

มุมมองต่อการลงทุนในหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คอลัมน์บัวหลวง Money Tips
โดยวรวรรณ ธาราภูมิ
และทีมจัดการกองทุนบัวหลวง

การลงทุนในหุ้นนั้น ผู้ลงทุนควรจะประเมินว่าหุ้นที่จะลงทุนควรให้ผลตอบแทนเท่าไร ซึ่งกว่าจะได้ผลตอบแทนเช่นนั้นมันต้องใช้เวลา บางทีก็มาช้า บางทีก็มาเร็วกว่าที่คิด

การลงทุนระยะยาวจะไม่หวังเพียง performance สั้นๆ เพียงปีต่อปี หรือสั้นเป็นสัปดาห์

หากพิถีพิถันคัดเลือกหุ้นหรือกองทุนหุ้นที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการทำกำไรในอนาคต ให้น้ำหนักกับคุณภาพของทีมบริหาร และการมีบรรษัทภิบาล จะทำให้ผู้ลงทุนไม่ไขว้เขวไปกับหุ้นที่มี Story ชั่วครั้งชั่วคราว แม้มันอาจจะทำกำไรที่ดีในระยะสั้น

เพราะสิ่งที่ต้องดูเป็นหลักไม่ใช่ดัชนี แต่เป็นกำไรในอนาคตของกิจการต่างหาก

ตลาดขาขึ้น ใครๆ ก็เป็น “กูรู” เป็น “เซียน” ซื้ออะไรก็เหมือนจะกำไรไปหมด จะลงทุนหุ้นสักตัวก็ไม่สนใจดูที่ Earnings แต่ขึ้นกับจินตนาการของแต่ละคนที่ฝันว่าราคาหุ้นจะไปถึงเท่าไหร่

ตลาดขาขึ้น อารมณ์ตลาดก็พาไป ทำให้นักลงทุนที่ไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดติดกับดักและหลงเข้ากองไฟอย่างไม่รู้ตัว หรือบางรายอาจรู้ แต่ประมาทคิดว่าขายออกทัน มารู้ตัวอีกทีก็สายเสียแล้ว

ช่วงตลาดขาลงจึงท้าทายฝีมือในการบริหารกองทุนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงทุนรายย่อยที่ลงทุนเองโดยตรง หรือผู้จัดการกองทุน เพราะโจทย์ที่อยู่ข้างหน้าคือทำอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง คือเราจะ Protect capital ไว้อย่างไร ได้แค่ไหนในยามตลาดขาลง

ผลตอบแทนที่ดีเป็นกอบเป็นกำจึงเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้ที่อดทนรอคอยได้อย่างไม่หวั่นไหว เพราะเมื่อเราเลือกหุ้นได้ถูกต้องก็ได้ผลตอบแทนเนื้อๆ ยามที่ตลาดยอมจ่ายให้แก่มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นที่เราลงทุน

แต่ปัญหาก็คือ คนไทยอดใจรอคอยไม่เป็น ทำให้เสียโอกาสเพราะจิตใจที่หวั่นไหวกับความผันผวนระยะสั้น

แล้วก็ต้องจิตตก หดหู่ในยามนี้ แทนที่จะดีใจที่รู้ว่าหุ้นที่เราคาดหวังในกำไรของกิจการนั้นจริง (ไม่ใช่แค่ราคาในกระดาน) มีราคาตลาดลดลงมา และน่าจะทยอยสะสมได้ในตัวที่เรามั่นใจ

หลายคนเถียงว่า มันยากที่จะรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะให้กำไรเรา

ก็ใช่ ไม่งั้น Charlie Munger มือขวาของคุณปู่ Warren Buffet คงไม่บอกหรอกว่า“ถ้าการลงทุนมันไม่ยากสักหน่อย ใครๆ ก็รวยแล้วสิ”

ทำการบ้านให้จริงๆ จังๆ สิคะ แต่อย่าลืมที่คุณปู่ John (Jack) Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguard บริษัทจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา เคยพูดว่า“ถ้ารับการขาดทุนในหุ้นสัก 20% ไม่ไหว ก็ไม่ควรไปยุ่งกับหุ้น” ซึ่งหมายความว่า ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนในหุ้นต้องเข้าใจและยอมรับได้

สิ่งที่เกิดแก่ตลาดหุ้นช่วงที่ผ่านมาคือ สภาพคล่องจำนวนมากทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งส่งผลทางอ้อมต่อตลาดหุ้นไทยไปด้วย ทำให้ Valuation ของหุ้นนั้นสะท้อนกำไรอนาคตทั้งปี 2013 ไปแล้ว

แต่ตอนนี้เรากำลังเจอการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย แล้วยิ่งกังวลเรื่องการหยุด QE อีก ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกถูกขายออกมามาก

ตอนนี้เรายังมองว่าการที่กำลังซื้อชะลอลงน่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็น ‘ชั่วคราวที่ค่อนข้างนาน’ เพราะการเร่งจับจ่ายไปมากในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะภาระผ่อนรถคันแรกนั้นอาจจะส่งผลต่อเนื่องกว่าที่คาด

ส่วนผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทก็ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการหลายแห่งเพิ่มขึ้น

จากกำลังซื้อที่ชะลอ ผสมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นจะกดดันผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้น ในไตรมาส 2 เป็นต้นไปผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนโดยรวมน่าจะยังไม่ดีนัก และมีโอกาสที่หุ้นไทยจะถูกปรับลดคาดการณ์กำไร รวมไปถึง P/E multiple ด้วย

ตลาดหุ้นจึงน่าจะปรับฐานอย่างมีนัยสำคัญหลังจากนี้ ซึ่งอาจจะเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 3-6 เดือน ขึ้นกับว่ามี Sentiment ทางบวกมาช่วยพยุงตลาดได้หรือไม่ หรือมีปัจจัยลบอื่นๆ เหนือความคาดหมายเข้ามาอีกหรือเปล่า

ความเสี่ยงที่ต้องระวังคือ ตอนนี้หุ้นหลายๆ ตัวถูกคาดหวังกับโครงการลงทุนของภาครัฐไปมาก ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ ก็จะทำให้ตลาดหุ้นกระทบมาก เพราะตอนนี้เศรษฐกิจไทยจะหวังพึ่งการส่งออกไม่ได้ การใช้จ่ายประชาชนก็ชะลออีก จึงเหลือแต่การใช้จ่ายของรัฐบาลที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้กระเตื้องขึ้นได้ในช่วงหลังของปี

(อ่านต่อตอนต่อไปเรื่อง แนวทางการลงทุนในปัจจุบัน)


กำลังโหลดความคิดเห็น