บมจ.เคเอสเค ประกันภัย เผยอีก 5 ปีข้างหน้าตั้งเป้าเบี้ยรวมโต 5,000 ล้านบาทจาก Non-motor ล่าสุดเพิ่มทุน 300 ล้านบาท หรือ 400% ชี้จีดีพีปี 56 ขยายตัวเพิ่ม 5.1% คาด มิ.ย.-ก.ค. เคลมประกันน้ำท่วมจบ เผยไตรมาส 1 เบี้ยรับรวมที่ 300 ล้านบาท หรือ 33%
นายเลิศชาย ประภาศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท เคเอสเค ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าประกันภัยการเติบโต 5 ปีอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท และต้องติด 1 ใน 10 ของบริษัทประกันภัย โดยในปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตที่ 1,500 ล้านบาท ปี 2557 ที่ 2,800 ล้านบาท ปี 2558 ที่ 4,000 ล้านบาท และปี 2559 ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นแผนการดำเนินงานที่ทำมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การเติบโต 5,000 ล้านบาทจะเป็นการเติบโตด้วยตัวเอง ไม่มีพันธมิตรเข้ามาร่วม แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าในอนาคตจะมีบริษัทอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วยบริษัทก็เปิดโอกาสให้เช่นกัน
ทั้งนี้ เป้าที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท บริษัทจะเน้นการเติบโตของเบี้ยในส่วน Non-motor เป็นหลัก และเชื่อว่าการขายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โครงการโครงสร้างพื้นฐาน และตัวประชาชนเองจะเป็นตัวผลักดันให้เติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
ส่วนไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 300 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นประมาณ 33% นอกจากนี้แล้วบริษัทจะเข้าไปทำคืองานโรดโชว์ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มไปแล้วที่ประเทศสิงคโปร์
ด้านนายหว่อง กิม เต็ก กรรมการผู้จัดการส่วนงานประกันภัย กลุ่มบริษัท เคเอสเค กรุ๊ฟ เบอร์ฮาร์ด ประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า ตามที่ คปภ.ได้มีผลบังคับเรื่องเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง หรือ RBC นั้น ขณะนี้บริษัทได้มีการเข้าไปเพิ่มทุนและสัดส่วนผู้ถือหุ้นกว่า 300 ล้านบาท หรือมีอยู่เกือบ 400% สาเหตุที่มีการเพิ่มทุนนั้นเพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน เนื่องจากว่าเราเชื่อมั่นว่าจีดีพีจะมีขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยในปี 56 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 5.1%
นอกจากนี้ การที่กลุ่มผู้มีรายได้ในระดับปานกลางมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์อุทกภัยในประเทศไทยเมื่อปี 54 ส่งผลให้คนไทยหันมาใส่ใจทำประกันภัยกันมากขึ้น บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าธุรกิจประกันภัยยังมีศักยภาพในการเติบโตอยู่อีกมาก ณ วันที่ 31 ธ.ค. 55 ในเดือน ต.ค. 55 เบี้ยประกันภัยรวมของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 179.459 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปี 54 ที่มียอดรวมเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 140.219 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทขาดทุนสะสมอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท โดยมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วหลายๆ บริษัทที่มีการขาดทุนสะสมมักจะลดต้นทุนลง แต่บริษัทเรากลับทำตรงกันข้ามเพราะเราเพิ่มทุนก่อนและค่อยมาลดต้นทุนทีหลัง
นายเลิศชาย ประภาศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท เคเอสเค ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าประกันภัยการเติบโต 5 ปีอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท และต้องติด 1 ใน 10 ของบริษัทประกันภัย โดยในปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตที่ 1,500 ล้านบาท ปี 2557 ที่ 2,800 ล้านบาท ปี 2558 ที่ 4,000 ล้านบาท และปี 2559 ที่ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นแผนการดำเนินงานที่ทำมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การเติบโต 5,000 ล้านบาทจะเป็นการเติบโตด้วยตัวเอง ไม่มีพันธมิตรเข้ามาร่วม แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าในอนาคตจะมีบริษัทอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วยบริษัทก็เปิดโอกาสให้เช่นกัน
ทั้งนี้ เป้าที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท บริษัทจะเน้นการเติบโตของเบี้ยในส่วน Non-motor เป็นหลัก และเชื่อว่าการขายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ โครงการโครงสร้างพื้นฐาน และตัวประชาชนเองจะเป็นตัวผลักดันให้เติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้
ส่วนไตรมาส 1 ที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยรับรวมอยู่ที่ 300 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นประมาณ 33% นอกจากนี้แล้วบริษัทจะเข้าไปทำคืองานโรดโชว์ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มไปแล้วที่ประเทศสิงคโปร์
ด้านนายหว่อง กิม เต็ก กรรมการผู้จัดการส่วนงานประกันภัย กลุ่มบริษัท เคเอสเค กรุ๊ฟ เบอร์ฮาร์ด ประเทศมาเลเซีย เปิดเผยว่า ตามที่ คปภ.ได้มีผลบังคับเรื่องเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง หรือ RBC นั้น ขณะนี้บริษัทได้มีการเข้าไปเพิ่มทุนและสัดส่วนผู้ถือหุ้นกว่า 300 ล้านบาท หรือมีอยู่เกือบ 400% สาเหตุที่มีการเพิ่มทุนนั้นเพื่อเป็นการสร้างความแข็งแกร่งทางด้านการเงิน เนื่องจากว่าเราเชื่อมั่นว่าจีดีพีจะมีขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยในปี 56 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 5.1%
นอกจากนี้ การที่กลุ่มผู้มีรายได้ในระดับปานกลางมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์อุทกภัยในประเทศไทยเมื่อปี 54 ส่งผลให้คนไทยหันมาใส่ใจทำประกันภัยกันมากขึ้น บริษัทจึงเชื่อมั่นว่าธุรกิจประกันภัยยังมีศักยภาพในการเติบโตอยู่อีกมาก ณ วันที่ 31 ธ.ค. 55 ในเดือน ต.ค. 55 เบี้ยประกันภัยรวมของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 179.459 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปี 54 ที่มียอดรวมเบี้ยประกันภัยอยู่ที่ 140.219 พันล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทขาดทุนสะสมอยู่ที่ 1,100 ล้านบาท โดยมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วหลายๆ บริษัทที่มีการขาดทุนสะสมมักจะลดต้นทุนลง แต่บริษัทเรากลับทำตรงกันข้ามเพราะเราเพิ่มทุนก่อนและค่อยมาลดต้นทุนทีหลัง
