บมจ.ไทยศรีประกันภัย จับมือ บมจ.ทิพยประกันภัย ยิ้มแก้มปริหลังประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดงได้ มูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท กลางปีเล็งประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม และสายสีชมพูต่อ เผยโครงการในลาวทุ่มงบกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐ เปิดประกันวินาศภัย ประกันภัย และรีอินชัวรัน แต่อยู่ระหว่างขอรายเส้น ขณะเดียวกันหวังนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
นายนที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลขณะนี้บริษัทได้เข้าไปรับทำประกันภัยให้กับรถไฟฟ้าสายสีแดงที่เชื่อมต่อไปยังรังสิต ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ทำร่วมกับ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และได้มีการเซ็นสัญญาไปแล้วในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นของ บมจ.ทิพยประกันภัย 55% และของบริษัท 45% มีมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท โดยจะทำการครอบคุ้มเป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเป็นต้นไป ขณะเดียวในช่วงกลางปีที่จะถีงนี้ บริษัทเตรียมตัวที่จะเข้าร่วมประมูลในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียมเข้ม (คูคต) และรถไฟฟ้าสายสีชมพู (รามอินทรา) ด้วย โดยรัฐบาลจะเริ่มเข้าให้ประมูลในสายสีเขียวเข้มก่อน
ส่วนการลงทุนในประเทศลาว บริษัทฯ อยู่ระหว่างการขอไลเซนส์ และคาดว่าจะได้ในเร็วๆ นี้ หรือถ้าเร็วสุดน่าจะเป็นช่วงเดือนหน้า เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีพาร์ตเนอร์เพิ่มเข้ามาร่วมทุนซึ่งมีความพร้อมอยู่แล้ว โดยในส่วนของพาร์ตเนอร์มีทั้งรูปแบบของรัฐและเอกชน ขณะเดียวกันก็จะมีพาร์ทเนอร์ในประเทศไทยด้วย ซึ่งการลงทุนในประเทศลาวครั้งนี้จะใช้เงินทุนไม่ต่ำกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะมีทั้งประกันวินาศภัย ประกันภัย และรีอินชัวรัน ซึ่งทั้ง 3 ประเภทกำลังอยู่ในระหว่างการขอไลเซนส์
“ในส่วนของการลงทุนเพิ่มนั้น บริษัทฯ กำลังมองหาอยู่แต่ต้องเป็นบริษัทที่เรายังไม่มีโปรดักต์ โดยต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และต้องเป็นพอร์ตที่ไม่ซับซ้อนกับของบริษัทที่มีอยู่” นายนทีกล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งกำไรอยู่ที่ 150-200 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนด้วย โดยผลตอบแทนที่ได้จะได้มาจากอัตราดอกเบี้ย, เงินปันผล และเงินปันผลตามแคปปิตอลเกณฑ์ โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ความสำคัญ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, คอนสตรักชัน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกฎของ คปภ.ที่วางไว้ให้ไม่ต่ำกว่า 20% ของการลงทุน โดยบริษัทได้ลงทุนเต็มเพดาน
นายนทีกล่าวต่อไปว่า การนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทให้สนใจด้วยฐานะทางการเงินและการบริหารที่ดี และกำลังศึกษาอย่างใกล้ชิด ข้อดีคือ ในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าตลาดหลักทรัพย์กฎระเบียบมีเยอะมาก และเมื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วส่วนใหญ่สภาพคล่องจะไม่ค่อยมี ดังนั้นจึงต้องศึกษาให้รอบครอบเสียก่อน ขณะเดียวกันการตัดสินใจว่าจะเข้าหรือไม่จะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริษัท หากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นจะไม่เพิ่มทุน แต่จะใช้วิธีให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ปล่อยหุ้นออกมาให้ได้สัดส่วนประมาณ 30% เพื่อให้รายย่อยเข้ามาเป็นเจ้าของจากที่กลุ่มพานิชชีวะถือหุ้นเกือบทั้งหมด ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 440 ล้านบาท
นายนที พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลขณะนี้บริษัทได้เข้าไปรับทำประกันภัยให้กับรถไฟฟ้าสายสีแดงที่เชื่อมต่อไปยังรังสิต ซึ่งโครงการดังกล่าวได้ทำร่วมกับ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และได้มีการเซ็นสัญญาไปแล้วในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นของ บมจ.ทิพยประกันภัย 55% และของบริษัท 45% มีมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท โดยจะทำการครอบคุ้มเป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเป็นต้นไป ขณะเดียวในช่วงกลางปีที่จะถีงนี้ บริษัทเตรียมตัวที่จะเข้าร่วมประมูลในเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียมเข้ม (คูคต) และรถไฟฟ้าสายสีชมพู (รามอินทรา) ด้วย โดยรัฐบาลจะเริ่มเข้าให้ประมูลในสายสีเขียวเข้มก่อน
ส่วนการลงทุนในประเทศลาว บริษัทฯ อยู่ระหว่างการขอไลเซนส์ และคาดว่าจะได้ในเร็วๆ นี้ หรือถ้าเร็วสุดน่าจะเป็นช่วงเดือนหน้า เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีพาร์ตเนอร์เพิ่มเข้ามาร่วมทุนซึ่งมีความพร้อมอยู่แล้ว โดยในส่วนของพาร์ตเนอร์มีทั้งรูปแบบของรัฐและเอกชน ขณะเดียวกันก็จะมีพาร์ทเนอร์ในประเทศไทยด้วย ซึ่งการลงทุนในประเทศลาวครั้งนี้จะใช้เงินทุนไม่ต่ำกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะมีทั้งประกันวินาศภัย ประกันภัย และรีอินชัวรัน ซึ่งทั้ง 3 ประเภทกำลังอยู่ในระหว่างการขอไลเซนส์
“ในส่วนของการลงทุนเพิ่มนั้น บริษัทฯ กำลังมองหาอยู่แต่ต้องเป็นบริษัทที่เรายังไม่มีโปรดักต์ โดยต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท และต้องเป็นพอร์ตที่ไม่ซับซ้อนกับของบริษัทที่มีอยู่” นายนทีกล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งกำไรอยู่ที่ 150-200 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนด้วย โดยผลตอบแทนที่ได้จะได้มาจากอัตราดอกเบี้ย, เงินปันผล และเงินปันผลตามแคปปิตอลเกณฑ์ โดยหุ้นกลุ่มที่ให้ความสำคัญ ได้แก่ กลุ่มธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, คอนสตรักชัน และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยพอร์ตการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกฎของ คปภ.ที่วางไว้ให้ไม่ต่ำกว่า 20% ของการลงทุน โดยบริษัทได้ลงทุนเต็มเพดาน
นายนทีกล่าวต่อไปว่า การนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทให้สนใจด้วยฐานะทางการเงินและการบริหารที่ดี และกำลังศึกษาอย่างใกล้ชิด ข้อดีคือ ในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม การเข้าตลาดหลักทรัพย์กฎระเบียบมีเยอะมาก และเมื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วส่วนใหญ่สภาพคล่องจะไม่ค่อยมี ดังนั้นจึงต้องศึกษาให้รอบครอบเสียก่อน ขณะเดียวกันการตัดสินใจว่าจะเข้าหรือไม่จะขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริษัท หากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นจะไม่เพิ่มทุน แต่จะใช้วิธีให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ปล่อยหุ้นออกมาให้ได้สัดส่วนประมาณ 30% เพื่อให้รายย่อยเข้ามาเป็นเจ้าของจากที่กลุ่มพานิชชีวะถือหุ้นเกือบทั้งหมด ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 440 ล้านบาท