บลจ.เอ็มเอฟซี ฟุ้งยึดมาร์เกตแชร์เบอร์หนึ่ง “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” เหตุจ่อเข้าบริหารกองทุนของบริษัทขนาดใหญ่อีกเพียบ เล็งปรับAUMปี 56 ใหม่หลังผลงานทะลุ 3.1 แสนล้านบาทไปแล้ว พร้อมออกกองทุนใหม่รับปีนี้อีก 28 กองทุน ระบุหุ้นไทยยังน่าลงทุนแต่ต้องปรับกลยุทธ์เลือกหุ้นรายตัวมากกว่าทำผลงานอิงดัชนี
น.ส.ประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้เดิมบริษัทตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (AUM) เอาไว้ที่ 310,000 ล้านบาท จากเดิมในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 300,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันบริษัทฯ พบว่าในช่วงที่ผ่านมาของปีนี้ AUM ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 310,000 บาทแล้ว ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะต้องมีการปรับเป้าหมายในส่วนนี้ใหม่
สำหรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนเงินดังกล่าวเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ ได้เข้าไปบริษัทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) ของบริษัทการบินไทย มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ในอันดับ 2 ของอุตสาหกรรมน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปเป็นอันดับที่ 1 ได้
“ตอนนี้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเราโตมาก และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะมีองค์กรขนาดใหญ่ที่กำลังจะครบกำหนดเข้ามาให้บริษัทช่วยบริหารเงินในส่วนนี้อีกหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งเท่าที่เห็นก็มีองค์การการสื่อสาร 7 พันล้านบาท องค์การโทรศัพท์ 1.8 หมื่นล้านบาท ไปรษณีย์ไทยอีกประมาณ1หมื่นล้านบาท แต่เราคงไม่ได้ครบทั้งหมดทุกก้อนและจะต้องไปดูก่อนว่าจะแบ่งให้เราบริหารเท่าไร”น.ส.ประภากล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ เปิดขายกองทุนไปทั้งสิ้น 26 กองทุนเป็นกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ 13 กองทุน กองทุนตราสารหนี้แบบเทอมฟันด์ 12 กองทุน และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 1 กองทุน ส่งผลมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนทุกประเภทภายใต้การจัดการของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2554 คิดเป็น 13%
โดยมูลค่า AUM เพิ่มขึ้นเป็น เป็น 303,093 ล้านบาท จากเดิมในปี 2554 อยู่ที่ 268,140 ล้านบาท แบ่งเป็นการเพิ่มขึ้น ของกองทุนรวมภายใต้การจัดการของบริษัท 12% จากเดิมมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในปี 2554 จำนวน 155,037 ล้านบาทเป็นจำนวน 173,574 ล้านบาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตเพิ่ม 25% จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิปี 2554 จำนวน 85,768 ล้านบาท เป็นจำนวน 107,763 ล้านบาท และกองทุนส่วนบุคคลมูลค่าทรัพย์สินจำนวน 21,756 ล้านบาท
น.ส.ประภา กล่าวอีกว่า ในส่วนของรายได้บริษัทในปีนี้คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 888 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.3% โดยบริษัทจะเน้นกลยุทธ์หลักในการสร้างความพึงพอให้กับลูกค้าจากผลงานการบริหารกองทุนของผู้จัดการกองทุน ผ่านเครื่องมือกรลงทุน ติดตามผลและควบคุมกรลงทุนใหม่ๆ เพื่อรักษาผลงานการลงทุนให้อยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนงานในการออกกองทุนเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม นอกเหนือจากกองทุน Flgship ต่างๆที่มีการลงทุนครบทุกประเภทอยู่แล้ว โดยแผนการออกกองทุนใหม่ในปีนี้มีจำนวน 28 กองทุน ดังนี้ กองทุนตราสารหนี้ 12 กองทุน กองทุน Target Fund 13 กองทุนแะกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 3 กองทุนท
ส่วนกองทุน Private Equity มีแผนจะจัดตั้งจำนวน 2 กองทุน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพิ่มอีก 1กองทุน และกองทุนส่วนบุคคลจำนวน 17 กองทุน โดยคาดว่าจะระดมเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 40,400 ล้านบาท
หุ้นไทยยังลงทุนได้
น.ส.ประภา กล่าวว่า สำหรับทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ มองว่า ทิศทางการลงทุนยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นที่ควบคู่ไปกับความผันผวน ดัชนีหุ้นไทยปีนี้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และในช่วงครึ่งแรกของปีดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นเกิน 1,600 จุด เนื่องจาก แนวโน้มเม็ดเงินลงทุนนอกยังไหลเข้าต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงต่างๆ ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวไหลเข้ามาต่อเนื่องแบบไม่หยุด
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองดัชนีหุ้นไทยปีนี้ใหม่เป็น 1,680 จุด ซึ่งน่าจะยังมีโอกาสของการลงทุนในหุ้นอยู่ แต่นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์ โดยจะต้องมีการคัดเลือกหุ้นในการลงทุนแต่และตัวมากขึ้น และบริษัทเองจะใช้วิธีแบบนี้มากกว่าการลงทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี