บลจ.วรรณเปิดตัว “TH100” กองทุนอีทีเอฟกองทุนแรกในประเทศไทยที่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET100 เตรียม IPO วันที่ 31 ม.ค.-12 ก.พ. 56 นี้ ระบุหุ้นไทยยังน่าลงทุนเหตุเงินทุนจากต่างชาติยังไหลเข้าต่อเนื่อง
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ในฐานะผู้นำด้าน ETF ของประเทศไทย ได้เพิ่มทางเลือกใหม่ให้แก่นักลงทุนด้วยการสร้าง TH100 เพื่อตอบสนองนักลงทุนที่อยากลงทุนในหุ้น SET100 ทั้งนี้ มีกำหนดเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ SET100 ETF หรือ TH100 ในวันที่ 31 ม.ค.-12 ก.พ. 56 นี้ เพื่อตอบสนองนักลงทุนที่ชื่นชอบการลงทุนในหุ้นกลุ่ม SET100
“บลจ.วรรณเป็นผู้นำด้านกองทุนรวม ETF และมีกองทุน ETF ออกมาต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ประมาณ 60% ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและยังเลือกหุ้นไม่ได้ก็แนะนำให้ลงทุนใน ETF ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี และสามารถใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงได้ ซึ่งในส่วนของ TH100 นั้นยังมีหุ้นที่สามารถเติบโตได้อีก และเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุน” นายวินกล่าว
ทั้งนี้ ในฐานะผู้นำตลาด บริษัทฯ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ETF ตัวใหม่ที่ชื่อว่า TH100 ซึ่งมีลักษณะของหุ้นขนาดกลางรวมอยู่ด้วยจะช่วยเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน ถ้าลองพิจารณาถึงสัดส่วนการลงทุนจะเห็นได้ว่า SET100 นั้นมีสัดส่วนของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มก่อสร้างมากกว่า SET50 ซึ่งทั้งสองกลุ่มเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มดีและมีอัตราเงินปันผลที่สูงในปี 2556
สำหรับกองทุนเปิด ไทยเด็กซ์ SET 100 ETF จะใช้กลยุทธ์การบริหารกองทุนเชิงรับ โดยลงทุนในตราสารแห่งทุน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ทั้งนี้ จะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอ้างอิง SET100
หุ้นไทยรับอานิสงส์เงินไหลเข้า
ด้าน นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณ กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกขณะนี้ ปัญหานี้ของยุโรปได้รับการแก้ไขต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐฯ จากการแก้ปัญหาด้วยนโยบายการเงิน แม้เศรษฐกิจยังไม่มีการฟื้นตัวขึ้นมามาก แต่มองว่าสถานการณ์อยู่ในจุดต่ำสุดแล้วและไม่แย่ลงไปกว่านี้ ส่วนทางด้านญี่ปุ่นเริ่มมีข่าวที่จะอัดฉีดเงินเข้าระบบเช่นกัน ดังนั้นในระบบการเงินโลกจึงมีสภาพคล่องที่สูง เงินจึงไหลเข้าไปลงทุนทั่วโลกรวมทั้งเอเชีย
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยมองว่า P/E ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค และบริษัทจดทะเบียนยังมีการจ่ายปันผลในระดับที่ดี จึงคาดว่าเงินยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ให้ระดับ P/E ขึ้นไปถึงที่ 15 เท่าได้ และส่งผลให้ดัชนีขึ้นไปถึงระดับ 1,600 จุดได้ แต่ที่ระดับนี้มองว่าตลาดยังมีความผันผวนมากเช่นกัน ส่วนในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยอาจจะมีการปรับตัวลงบ้าง ซึ่งมองว่าอาจปรับลงในกรอบดัชนีประมาณ 1,430-1,450 จุด
นายวินกล่าวอีกว่า ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนที่ดีในปีนี้ แต่จะมีความผันผวนมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่ามี Fund Flow จากต่างชาติไหลเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง ถ้าประเมินถึงการเกิด AEC ตลาดในภูมิภาคจะเชื่อมต่อกัน ในเชิงเปรียบเทียบ บริษัทจดทะเบียนของไทยถือว่ามีความได้เปรียบเพราะมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่สูง เรายังคงมองว่าหุ้นไทยยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับความเสี่ยง โดยปัจจัยหลักที่จะผลักดันตลาดหุ้นในปีนี้ก็คือ นโยบายการเงินของต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น Fund Flow ที่มาจากการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินจากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สหรัฐฯ ECB หรือ BOJ ในส่วนของในประเทศคือเรื่องของการบริโภคภายในประเทศ และการใช้จ่ายภาครัฐ