โดยวรวรรณ ธาราภูมิ และทีมงาน
General News
-----------------
• อัตราว่างงานออสเตรเลียเดือน พ.ย.ลดลงมาอยู่ที่ 5.2% จาก 5.4% ในเดือน ต.ค.แสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลดีจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมเหมืองที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
• อัตราว่างงานกรีซเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.69 ล้านราย หรือ +26% สูงขึ้นจาก 25.3% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและถดถอยติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ขณะที่สัปดาห์นี้ ธ.กลางกรีซคาดการณ์ว่า GDP ปี 2012 จะติดลบกว่า 6% และจะติดลบ 4% ถึง 4.5% ในปีหน้า
• ธ.กลางยุโรป (ECB) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.75% และยังไม่ประกาศใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติมเพื่อรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและดูโอกาสที่เหมาะสม ก่อนที่จะเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรครั้งใหม่
• ธ.กลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% และไม่ขยายโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 3.75 แสนล้านปอนด์ ขณะที่ จอร์จ ออสบอร์น รมว.คลังอังกฤษ คาดไว้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวช้าเกินคาดในช่วง 3 ปีข้างหน้า และรัฐบาลจะไม่บรรลุเป้าหมายลดหนี้สิน
• ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐฯ ยืนยันว่ารัฐบาลจะผลักดันให้ขึ้นภาษีสำหรับผู้มีรายได้สูง ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 2% ของจำนวนผู้เสียภาษีทั้งหมดเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และจะไม่ยอมรับข้อเสนอที่จะหลีกเลี่ยง Fiscal Cliff จากฝ่ายนิติบัญญัติ หากไม่มีการกำหนดให้ขึ้นภาษี เนื่องจากรัฐบาลกลางจะขาดดุลงบประมาณมหาศาล
• เอดีพี รีเสิร์ช รายงานว่า การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ลดลง 86,000 ตำแหน่ง หลังได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนแซนดี โดยเฉพาะในภาคการผลิต ค้าปลีก ท่องเที่ยว และสันทนาการ ที่ชะลอการจ้างงานลงชั่วคราว
• การเลิกจ้างงานในภาคการเงินของโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป แม้จะเลิกจ้างไปแล้วกว่า 300,000 ตำแหน่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดย Citigroup ประกาศแผนเลิกจ้าง 11,000 ตำแหน่ง หลังธุรกิจหลักทรัพย์และธนาคารเพื่อรายย่อยยังคงซบเซา ในขณะที่ Bank of America Corp. และ HSBC Holdings เลิกจ้างพนักงานราว 30,000 ตำแหน่ง และยูบีเอสเอจีลดพนักงานราว 10,000 ตำแหน่ง
• HSBC อาจต้องจ่ายค่าปรับสูงถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อไกล่เกลี่ยคดีฟอกเงินกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะประกาศยุติคดีนี้ได้ในสัปดาห์หน้า
• ผลสำรวจความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ไปสู่ -18 จุดในเดือนนี้ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอาจแตะระดับต่ำสุดแล้ว โดยความเชื่อมั่นในภาคบริการซึ่งรวมถึงผู้ค้าปลีกและบริษัทก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในประเทศเพื่อฟื้นฟูเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 16 ธ.ค.นี้
• สี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนจะต้องรักษาระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ยึดมั่นในนโยบายการคลังเชิงรุก และนโยบายเงินตราที่รอบคอบในปีหน้า รวมทั้งปรับปรุงเรื่องความแข็งแกร่งและพลวัตทางเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับภารกิจหลักในปี 2556 ประกอบด้วยการสนับสนุนเกษตรกรรม การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
• สถาบันสังคมศาสตร์จีน (CASS) ชี้ว่า เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.2% ในปีหน้า จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยาย 7.7% หลังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางการ แต่ความเสี่ยงยังคงมีอยู่จากเศรษฐกิจโลก โดยจีนควรเพิ่มความช่วยเหลือด้านงบประมาณต่อเศรษฐกิจด้วยการกู้และใช้จ่ายมากขึ้น กับลดภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
• General Motors มียอดขายรถยนต์ในจีนเดือน พ.ย.เพิ่มขึ้น 9.7% หลังความต้องการรถ Buick และ Chevrolet เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขาย 11 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 10% มาอยู่ที่ 2.59 ล้านคัน ซึ่งสูงกว่ายอดขายในปีก่อนทั้งปี และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
• จีนเตือนเวียดนามให้ยุติการสำรวจน้ำมันในพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ และยุติการก่อกวนเรือประมงของจีน ซึ่งทำให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นในข้อพิพาทดินแดนทางทะเล
• อินเดียผ่านร่างกฎหมายเปิดเสรีภาคค้าปลีกซึ่งเปิดทางให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี มานโมหัน ซิงห์ โดยทุกๆ 1.7 ดอลลาร์ของการลงทุนในภาคค้าปลีกจะทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ เนื่องจากภาคค้าปลีกเกี่ยวโยงกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ สูง
• ก.คมนาคมเร่งศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เพื่อให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะเริ่มดำเนินโครงการภายในปีหน้า ภายใต้โครงการเส้นทางรถไฟความเร็วสูง “กรุงเทพฯ-เชียงใหม่” และ “กรุงเทพฯ-หนองคาย”
• ไทยติดอันดับ 8 ประเทศที่เกิดเหตุก่อการร้ายมากที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี 2545-2554 โดยเป็นผลจากเหตุรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เกิดขึ้นกว่า 173 ครั้ง จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 142 คน และมีผู้บาดเจ็บ 427 คน ขณะที่อันดับ 1 คือ อิรัก ส่วนลาวไม่มีเหตุก่อการร้ายเกิดขึ้นเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
Equity Market
-----------------
• SET Index ปิดที่ 1,339.88 จุด เพิ่มขึ้น 9.82 จุด หรือ 0.74% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36,751 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,780 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากกรณีพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง แสดงความพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน และเตรียมออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
• Morgan Stanley คาดว่า ในปีหน้าทองคำ โลหะเงิน และข้าวโพด จะให้ผลตอบแทนสูงสุดในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากปริมาณอุปทานมีจำกัด ทั้งนี้ ราคาโลหะเงินจะเพิ่มขึ้นตามราคาทองคำ ซึ่งคาดว่าราคาทองคำในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,853 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ปริมาณธัญพืชมีแนวโน้มจำกัด หลังแหล่งเพาะปลูกในอเมริกาใต้เก็บเกี่ยวผลผลิตล่าช้ากว่าปกติ
Fixed Income Market
-------------------------
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วง -0.07% ถึง 0.01% โดยเฉพาะรุ่นอายุ 4.5 ปี ถึง 15 ปี ปรับลดลงในช่วง -0.07% ถึง -0.03%
General News
-----------------
• อัตราว่างงานออสเตรเลียเดือน พ.ย.ลดลงมาอยู่ที่ 5.2% จาก 5.4% ในเดือน ต.ค.แสดงถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลดีจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมเหมืองที่มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
• อัตราว่างงานกรีซเดือน ก.ย.เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.69 ล้านราย หรือ +26% สูงขึ้นจาก 25.3% ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและถดถอยติดต่อกันเป็นปีที่ 6 ขณะที่สัปดาห์นี้ ธ.กลางกรีซคาดการณ์ว่า GDP ปี 2012 จะติดลบกว่า 6% และจะติดลบ 4% ถึง 4.5% ในปีหน้า
• ธ.กลางยุโรป (ECB) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.75% และยังไม่ประกาศใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติมเพื่อรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและดูโอกาสที่เหมาะสม ก่อนที่จะเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรครั้งใหม่
• ธ.กลางอังกฤษมีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.5% และไม่ขยายโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 3.75 แสนล้านปอนด์ ขณะที่ จอร์จ ออสบอร์น รมว.คลังอังกฤษ คาดไว้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวช้าเกินคาดในช่วง 3 ปีข้างหน้า และรัฐบาลจะไม่บรรลุเป้าหมายลดหนี้สิน
• ทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐฯ ยืนยันว่ารัฐบาลจะผลักดันให้ขึ้นภาษีสำหรับผู้มีรายได้สูง ซึ่งมีสัดส่วนเพียง 2% ของจำนวนผู้เสียภาษีทั้งหมดเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ และจะไม่ยอมรับข้อเสนอที่จะหลีกเลี่ยง Fiscal Cliff จากฝ่ายนิติบัญญัติ หากไม่มีการกำหนดให้ขึ้นภาษี เนื่องจากรัฐบาลกลางจะขาดดุลงบประมาณมหาศาล
• เอดีพี รีเสิร์ช รายงานว่า การจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ลดลง 86,000 ตำแหน่ง หลังได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนแซนดี โดยเฉพาะในภาคการผลิต ค้าปลีก ท่องเที่ยว และสันทนาการ ที่ชะลอการจ้างงานลงชั่วคราว
• การเลิกจ้างงานในภาคการเงินของโลกยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อไป แม้จะเลิกจ้างไปแล้วกว่า 300,000 ตำแหน่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดย Citigroup ประกาศแผนเลิกจ้าง 11,000 ตำแหน่ง หลังธุรกิจหลักทรัพย์และธนาคารเพื่อรายย่อยยังคงซบเซา ในขณะที่ Bank of America Corp. และ HSBC Holdings เลิกจ้างพนักงานราว 30,000 ตำแหน่ง และยูบีเอสเอจีลดพนักงานราว 10,000 ตำแหน่ง
• HSBC อาจต้องจ่ายค่าปรับสูงถึง 1.8 พันล้านดอลลาร์ เพื่อไกล่เกลี่ยคดีฟอกเงินกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะประกาศยุติคดีนี้ได้ในสัปดาห์หน้า
• ผลสำรวจความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ไปสู่ -18 จุดในเดือนนี้ บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอาจแตะระดับต่ำสุดแล้ว โดยความเชื่อมั่นในภาคบริการซึ่งรวมถึงผู้ค้าปลีกและบริษัทก่อสร้างปรับตัวดีขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในประเทศเพื่อฟื้นฟูเหตุแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ดัชนียังคงอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 16 ธ.ค.นี้
• สี จิ้นผิง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนจะต้องรักษาระดับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ยึดมั่นในนโยบายการคลังเชิงรุก และนโยบายเงินตราที่รอบคอบในปีหน้า รวมทั้งปรับปรุงเรื่องความแข็งแกร่งและพลวัตทางเศรษฐกิจของประเทศ สำหรับภารกิจหลักในปี 2556 ประกอบด้วยการสนับสนุนเกษตรกรรม การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และการปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน
• สถาบันสังคมศาสตร์จีน (CASS) ชี้ว่า เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.2% ในปีหน้า จากปีนี้ที่คาดว่าจะขยาย 7.7% หลังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางการ แต่ความเสี่ยงยังคงมีอยู่จากเศรษฐกิจโลก โดยจีนควรเพิ่มความช่วยเหลือด้านงบประมาณต่อเศรษฐกิจด้วยการกู้และใช้จ่ายมากขึ้น กับลดภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
• General Motors มียอดขายรถยนต์ในจีนเดือน พ.ย.เพิ่มขึ้น 9.7% หลังความต้องการรถ Buick และ Chevrolet เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขาย 11 เดือนแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 10% มาอยู่ที่ 2.59 ล้านคัน ซึ่งสูงกว่ายอดขายในปีก่อนทั้งปี และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม
• จีนเตือนเวียดนามให้ยุติการสำรวจน้ำมันในพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ และยุติการก่อกวนเรือประมงของจีน ซึ่งทำให้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นในข้อพิพาทดินแดนทางทะเล
• อินเดียผ่านร่างกฎหมายเปิดเสรีภาคค้าปลีกซึ่งเปิดทางให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศ อันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี มานโมหัน ซิงห์ โดยทุกๆ 1.7 ดอลลาร์ของการลงทุนในภาคค้าปลีกจะทำให้ GDP เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์ เนื่องจากภาคค้าปลีกเกี่ยวโยงกับภาคเศรษฐกิจอื่นๆ สูง
• ก.คมนาคมเร่งศึกษาความเหมาะสมของโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เพื่อให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ และจะเริ่มดำเนินโครงการภายในปีหน้า ภายใต้โครงการเส้นทางรถไฟความเร็วสูง “กรุงเทพฯ-เชียงใหม่” และ “กรุงเทพฯ-หนองคาย”
• ไทยติดอันดับ 8 ประเทศที่เกิดเหตุก่อการร้ายมากที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปี 2545-2554 โดยเป็นผลจากเหตุรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เกิดขึ้นกว่า 173 ครั้ง จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 142 คน และมีผู้บาดเจ็บ 427 คน ขณะที่อันดับ 1 คือ อิรัก ส่วนลาวไม่มีเหตุก่อการร้ายเกิดขึ้นเลยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
Equity Market
-----------------
• SET Index ปิดที่ 1,339.88 จุด เพิ่มขึ้น 9.82 จุด หรือ 0.74% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 36,751 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,780 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากกรณีพรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง แสดงความพร้อมที่จะรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน และเตรียมออกมาตรการใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
• Morgan Stanley คาดว่า ในปีหน้าทองคำ โลหะเงิน และข้าวโพด จะให้ผลตอบแทนสูงสุดในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากปริมาณอุปทานมีจำกัด ทั้งนี้ ราคาโลหะเงินจะเพิ่มขึ้นตามราคาทองคำ ซึ่งคาดว่าราคาทองคำในปีหน้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,853 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ปริมาณธัญพืชมีแนวโน้มจำกัด หลังแหล่งเพาะปลูกในอเมริกาใต้เก็บเกี่ยวผลผลิตล่าช้ากว่าปกติ
Fixed Income Market
-------------------------
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงอยู่ในช่วง -0.07% ถึง 0.01% โดยเฉพาะรุ่นอายุ 4.5 ปี ถึง 15 ปี ปรับลดลงในช่วง -0.07% ถึง -0.03%
