บลจ.ซีไอเอ็มบีเล็งขยายฐานลูกค้า เพิ่มเซลลิ่งเอเยนต์อีก 4-5 แห่งในปีหน้า มั่นใจได้เปรียบหากเปิด AEC เหตุแบงก์แม่ในมาเลย์ช่วยหนุนเต็มที่ ล่าสุดส่งกองทุนน้องใหม่ “iFIXED” ปั๊มยอดช่วงท้ายปี ชูจุดเด่นลงทุนตราสารหนี้ระยะกลางเพิ่มยิลด์ชนะเงินเฟ้อ เหมาะใช้เป็นพระเอกของพอร์ตลงทุน คาดผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 3.75-4.25% ต่อปี
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (AUM) เฉพาะกองทุนรวมเพิ่มขึ้น 4,100 ล้านบาท จากสิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 8,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากการเปิดขายกองทุนใหม่ภายในปีนี้ทั้งหมด 4 กองทุน โดยหลังจากนี้บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนใหม่อีก 2 กองทุนเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
“ความจริงกองทุนรวมเราโตต่ำกว่าเป้าแต่เป็นแค่เป้าภายในที่สูงมาก ซึ่งพอใจแล้วกับการเติบโตในลักษณะนี้ แต่เราต้องปรับแนวคิดและหากองทุนใหม่มาทดแทน หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมากองตราาสารหนี้ต่างประเทศอย่างเกาหลีได้รับความนิยมมาก แต่เมื่อครบอายุแล้วไม่สามารถหาสินค้ามารองรับเม็ดเงินในส่วนนี้ได้”
อย่างไรก็ตาม นอกจากการเติบโตของสินทรัพย์รวมแล้ว บริษัทยังเน้นการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นด้วย โดยบริษัทยังอยู่ในระหว่างเจรจาเพื่อเพิ่มเซลลิ่งเอเยนต์อีกประมาณ 4-5 แห่ง แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะบรรลุข้อตกลงหรือไม่ เนื่องจากสินค้ากองทุนรวมในปัจจุบันยังมีความแตกต่างกันน้อย บริษัทจึงจำเป็นต้องพัฒนาสินค้าใหม่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างให้ได้ก่อน
ขณะที่การเปิดเสรีภาคการเงินภายใต้ประชาคมอาเซียน นายเจิดพันธุ์กล่าวว่า บริษัทถือว่ามีความพร้อมในการเปิดเสรีอยู่แล้ว เนื่องจากกลุ่มซีไอเอ็มบีซึ่งมีบริษัทแม่ในประเทศมาเลเซียมีนโยบายในการขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง
iFIXEDพระเอกพอร์ตลงทุน
ด้านนายเจษฎา สุขทิศ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในกองทุนรวมช่วง 15 ปีที่ผ่านมาปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท แต่ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกองทุนรวมตลาดเงิน และกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งจากการสำรวจพบว่ากองทุนประเภทนี้ยังให้ผลตอบแทนต่ำกว่าเงินเฟ้อ โดยการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น และกองทุนตราสารหนี้แบบกำหนดอายุ 1 ปีให้ผลตอบแทนสะสม 16.80% และ 18.10% ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อซึ่งอยู่ที่ประมาณ 18.4%
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบโจทย์และเพิ่มผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อให้แก่นักลงทุน บริษัทได้ทำการเปิดขายกองทุนเปิด CIMB-Principal Core Fixed Income Fund (CIMB-PRINCIPAL iFIXED) ในระหว่างวันที่ 26 พ.ย.-4 ธ.ค. 55
สำหรับกองทุนนี้จะมีนโยบายกระจายการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยตั้งเป้าผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 3.75-4.25% ต่อปี
“กองทุนนี้ถือเป็นกองตราสารหนี้ระยะกลางกองแรกๆ ของประเทศไทย ซึ่งคนไทยควรจะได้มีโอกาสลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางและใช้กองทุนนี้เป็นสินทรัพย์หลักของพอร์ตลงทุน อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกองนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนได้พอสมควร และมีเงินลงทุนที่สามารถลงทุนได้ประมาณ 1 ปีขึ้นไป” นายเจษฎากล่าว
ส่วนจุดเด่นของกองทุนนี้จะเป็นกองทุนที่สามารถรับมือได้ทุกสภาวะตลาดด้วยเครื่องมือการลงทุนที่หลากหลาย โดยผู้จัดการกองทุนสามารถนำมาปรับใช้ให้เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาได้ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มผลตอบแทนด้วยการลงทุนในต่างประเทศซึ่งมีการทำประกันความเสี่ยงทั้งจำนวนเอาไว้
นอกจากนี้ จากการศึกษาของบริษัทพบว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลางนั้นจะมีโอกาสขาดทุนต่ำเมื่อถือครองอย่างน้อย 1 ปี โดยหากดูย้อนหลังไป 10 ปีจะพบว่า ผลตอบแทนจากการถือพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้เอกชนอายุ 1-3 ปีเป็นเวลา 1 ปีจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยถึง 3.95%