xs
xsm
sm
md
lg

ให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม ภาพรวม6เดือนแรกโต 7.34 แสนล้านบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สถาปนะ เลี้ยวประไพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจจัดการกองทุนครึ่งปีแรก 2555 กับการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม โดยกล่าวว่าปี 2555 นี้ก็ผ่านมาครึ่งปีกันแล้ว ท่านใดที่ต้องการให้เงินงอกเงยก็อย่าลืมเด็ดขาดว่าต้องลงทุน และควรลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และหากท่านใดฝากเงินกินดอกเบี้ยอย่างเดียวซึ่งครึ่งปีที่ผ่านมาเงินฝาก 3 เดือนให้ผลตอบแทนประมาณ 1.9% หรือเงินฝาก 1ปี ให้ผลตอบแทนประมาณ 2.7% (ค่าเฉลี่ยดอกเบี้ยเงินฝาก 3 เดือน และ1 ปีของ BBL KBANK SCB) ซึ่งนั้นต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่เป็นอยู่ในปัจจุบันที่อยู่ราว 3.5% (อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ณ พฤษภาคม 2555 ตามรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ ธนาคารแห่งประเทศไทย) จะเห็นได้ว่าผลตอบแทนจากการฝากเงิน 3 เดือน หรือ 1 ปี นั้นต่ำกว่าเงินเฟ้ออยู่ถึง 1.6% และ 0.8% ตามลำดับ

ดังนั้นก็ขอให้ลองศึกษาสินทรัพย์เพื่อการลงทุนและจัดสรรเงินมาลงทุนในสินทรัพย์เพื่อการลงทุนต่างๆ เพื่อให้เงินของทุกท่านเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการให้เงินทำงานผ่านกองทุนรวม โดยครึ่งปี 2555 ที่เพิ่งผ่านมามูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การจัดการกองทุนมีมูลค่ารวมกว่า 2.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนทีมีมูลค่ารวม 2.08 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 12.30 %

ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมากองทุนรวมก็ได้เสนอขายกองทุนใหม่ตอบสนองความต้องการลงทุนของผู้ลงทุนโดยรวมไปแล้วกว่า 7.34 แสนล้านบาท 413 กองทุน โดยกองทุนรวมตราสารหนี้เป็นที่นิยมมากที่สุดมีสัดส่วนกว่าร้อยละ 92.4 ของกองทุนเปิดใหม่ ทั้งหมด มีมูลค่ารวม 6.78 แสนล้านบาท จาก 340 กองทุน โดยแบ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ในประเทศ 194 กองทุน มูลค่ารวม 4.32 แสนล้านบาท (63.7%) ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดอายุกองทุนอยู่ที่ 6 เดือน ผลตอบแทน 2.9 - 3.45% และกองทุนอายุ 3 เดือน ผลตอบแทน 2.7 - 3.15% ส่วน 146 กองทุนที่เหลือเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศอีก 2.46 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่กำหนดอายุกองทุนอยู่ที่ 1ปี ผลตอบแทน 3.4 - 4.6% และ กองทุนอายุ 6 เดือนผลตอบแทน 3.3% - 3.6%

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มีเสนอขายให้ผู้ลงทุน เช่นกัน โดยมีมูลค่ารวม 2.4 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วยกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 3 กองทุน กองแรกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ยูโอบี ฟรีโฮลด์ เอท ทองหล่อ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์กลางใจเมืองโดยลงทุนในร้านค้าปลีกและเซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ ของ อาคาร ดิ เอท ทองหล่อ เรสซิเดนท์เซส มูลค่า 2.37 พันล้านบาท กองที่ 2 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ละสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาทซึ่งถือว่าเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของไทย และมีผู้ลงทุนจองซื้อมากกว่า 10,000 ราย ซึ่งนับเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย

และกองที่ 3 กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มูลค่า 3.3 พันล้านบาท ซึ่งลงทุนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ (Freehold) ในโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ เซนเตอร์ พอยต์ สุขุมวิท-ทองหล่อ และโครงการอาคารพักอาศัยให้เช่า เซนเตอร์ พอยต์ เรซิเดนซ์ พร้อมพงษ์ และลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) ในโครงการบ้านพักอาศัยให้เช่า แอล แอนด์ เอช วิลล่า สาทร ซึ่งเป็นโครงการที่มีศักยภาพสูง สำหรับผลตอบแทนของทั้ง 3 กองทุนนี้ให้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผลประมาณ 6.5% - 7% (ประมาณการอัตราเงินปันผลในช่วงเสนอขายหน่วยลงทุน) และมีโอกาสรับผลตอบแทนได้สูงขึ้นจากผลประกอบการที่ดีของกองทุน และทรัพย์สินของกองทุนที่ประเมินมูลค่าเพิ่มขึ้น

สร้างผลตอบแทนที่สูงกับกองทุนหุ้น โดยกองทุนหุ้นเปิดใหม่ครึ่งปีแรกมีมูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท จาก 30 กองทุน โดยแบ่งเป็นกองทุนหุ้นภายในประเทศ 13 กองทุน มูลค่ารวม 8.21 พันล้านบาท และกองทุนหุ้นที่ลงทุนในต่างประเทศ อีก 17 กองทุน มูลค่ารวม 2.96 พันล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาลึกลงไปจะเห็นว่า กองทุนที่เสนอขายและได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนไม่น้อยในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นกองทุนหุ้นพวก Trigger Fund และ Target Fund ที่มีเป้าผลตอบแทนของกองทุนโดยหากผลตอบแทนถึงระดับที่กำหนดก็จะปิดกองทุนและคืนเงินให้กันผู้ถือหน่วยลงทุน โดยครึ่งปีแรกมีเสนอขายกองทุนหุ้น Trigger Fund และ Target Fund ใหม่ 13 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 3.75 พันล้านบาท เป้าผลตอบแทนส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 8-10 %

ที่นี้ลองมาดูผลการดำเนินงานกองทุนหุ้น Trigger Fund และ Target Fund รุ่นพี่ที่ปิดกองกันไปแล้วว่าเป็นอย่างไร จากจำนวนกองทุนที่ปิดกองไปแล้ว 21 กองทุน มีจำนวน 10 กองทุน (48%) ที่ผลตอบแทนถึงระดับที่กำหนด และมีผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 11% และหากมองในภาพรวมแล้วพบว่ามีกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกถึง 16 กองทุน (76%) โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 8.5% แต่แน่นอนว่าการลงทุนมีความเสี่ยงยิ่งกองทุนหุ้นแล้วโอกาสขาดทุนยอมมีโดยมีอยู่ 5 กองทุน (24%) ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ย -9%

อย่างไรก็ดีหากต้องการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนซึ่งการลงทุนในหุ้นระยะยาวช่วยได้และในขณะเดียวกันก็ต้องการลดความเสี่ยงด้วย กองทุนรวมผสมตอบโจทย์ได้ โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการเสนอขายไปแล้ว 28 กองทุน มูลค่ารวมกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท

กองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์อีกทางเลือกการลงทุนทั้งกองทุนทองคำหรือกองทุนน้ำมันแม้ในช่วงต้นปีราคาซื้อขายทองคำและน้ำมันในตลาดโลกจะผันผวนแต่ยังคงได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนไม่น้อยโดยครึ่งปีแรกมีกองทุนทองคำใหม่เสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั้งแบบลงทองคำตรง แบบลงทุนในกองทุนทองคำต่างประเทศทั้งที่มีการป้องกันความเสี่ยงและไม่ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน รวม 6 กองทุนมูลค่า 2.24 พันล้านบาท และกองทุนน้ำมัน 1 กองทุนมูลค่า 31 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์แต่ละประเภทไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงสิ้นปีก่อนโดยกองทุนทองคำ ณ สิ้นมิถุนายนมีสัดส่วน 90% มูลค่า 5.16 หมื่นล้านบาท กองทุนน้ำมันมีสัดส่วน 8% มูลค่า 4.4 พันล้านบาท และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ 2% มูลค่า 1 พันล้านบาท

อัตราการจ่ายเงินปันผลของกองทุนรวมต่างๆก็น่าสนใจไม่น้อยโดยช่วงครึ่งปีแรกอัตราการจ่ายเงินปันผลเฉลี่ยของกองทุนผสมจ่ายมากที่สุดที่ 6.2% รองลงมากองทุนหุ้น 6.1% กองทุนรวม LTF จ่ายที่ 2.6% กองทุนรวม ETF จ่ายที่ 2.5% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์จ่ายที่ 1.5%

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาหากเราให้เงินทำงานผ่านกองทุน (ลงทุนในกองทุน) เราจะได้ผลตอบแทนอย่างไร ลองมาดูกัน ค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนของกองทุนแต่ละประเภทช่วง 6 เดือนที่ผ่านมากองทุนหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุดอยู่ที่ 16.9% ซึ่งน่าสนใจทีเดียว นอกจากนี้กองทุนหุ้นที่ให้ผลตอบแทนต่ำสุดยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกที่ 1.99% อีกด้วย ในส่วนของกองทุน LTF ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นเช่นเดียวกันก็ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 14.5% ไม่น้อยหน้ากันมากนัก ในด้านกองทุนผสมที่สินทรัพย์ส่วนหนึ่งเป็นหุ้นนั้นก็ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 8.8% ซึ่งสะท้อนภาพของตลาดหุ้นครึ่งปีแรกที่โดยรวมยังเป็นบวกเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนแม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีหลายปัจจัยลบกระทบตลาดหุ้น ในด้านกองทุนรวมตราสารหนี้และกองทุนรวมตลาดเงินที่หลายท่านที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้น้อยลงทุนในกองทุนประเภทนี้ก็ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 1.54% และ 1.35% ตามลำดับ ส่วนกองทุนทองคำที่ช่วงปีก่อนร้อนแรงมากแต่มาครึ่งปีนี้ก็ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบที่ -4.12% อย่างก็ดีการลงทุนในระยะยาวกองทุนทองคำยังคงมนต์ขลังที่น่าสนใจที่เดียว

กองทุนรวม RMF ตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาวและช่วงลดหย่อนภาษีในปัจจุบัน

6 เดือนที่ผ่านมา แม้จะเป็นช่วงการลงทุนสั้นๆ ก็ยังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ โดยกองทุนรวม RMF ที่เป็นหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยนสูงสุดเมื่อเทียบกับกองทุนรวม RMF ด้วยกัน ซึ่งให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 13.8% กองทุนรวม RMF แบบผสมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยรองลงมาที่ 10.6% กองทุนรวม RMF ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 1.24% สำหรับกองทุนรวม RMF ทองคำผลตอบแทนเฉลี่ย -1%

การลงทุนในระยะยาวสร้างผลตอบแทนที่ดี แม้ในช่วงสั้นๆของแต่ละปีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนต่างๆ จะให้ผลตอบแทนผันผวน

เราลองมองย้อนไปเป็นสิบปีจะเห็นว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นบวกบ้าง ลบบ้าง บ้างปีก็บวกมากบ้างปีก็บวกน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุนและอื่นๆ อีกมากมายในแต่ละช่วงเวลานั้น ซึ่งหากเราลงทุนสั้นๆ คงหนีไม่พ้นกับการพบโอกาสขาดทุน (ความผันผวน-ความเสี่ยง) แต่หากเราลงทุนยาวๆ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็ช่วงเพิ่มโอกาสในการรับผลตอกแทนที่ดี

จากข้อมูลจริงที่ผ่านมาเป็นสิบปีหากเราลงทุน 100 บาทในสินทรัพย์ต่างๆ เช่น ทองคำ หุ้น ตราสารหนี้ และเงินฝาก เงิน 100 บาทของเราจะเพิ่มขึ้นเป็น 548 บาท 425 บาท 212 บาท และ 140 บาท ตามลำดับ นั่นชี้ให้เห็นว่าการลงทุนในระยะยาวสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกอย่างน่าสนใจโดยผลตอบแทนเฉลี่ยของการลงทุนในทองคำสูงสุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 13.98% ต่อปี รองลงมาคือการลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 11.78% ต่อปี ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 5.96% ต่อปี และเงินฝากให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 2.61% ต่อ


กำลังโหลดความคิดเห็น