กูรูมองเศรษฐกิจโลกในปีหน้าไม่ฟื้น เอเชียยังเป็นกลุ่มเศรษฐกิจหลัก แนะลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้นปีหน้าในหุ้นกลุ่มเอเชีย จีน และตลาดเกิดใหม่ที่ยังมีการเติบโตสูง ขณะที่ทองคำอาจพุ่งถึงระดับ 1,920 เหรียญในปีหน้า
นายกำพล อดิเรกสมบัติ เศรษฐกรอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจโลกว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้ายังคงประสบปัญหาอยู่ ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีการฟื้นตัวค่อนข้างน้อย โดยกลุ่มยูโรโซนยังประสบปัญหายาว ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะมาจากกลุ่มเอเชีย
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มดีขึ้นซึ่งสะท้อนจากราคาบ้านที่ปรับตัวขึ้นมา และคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีหน้า โดยไอเอ็มเอฟคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะโตที่ระดับ 2% ส่วนยูโรโซน สเปน อิตาลี ยังประสบปัญหาหนี้ที่เพิ่มขึ้น และเชื่อว่าสเปนน่าจะเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงินอย่างแน่นอน ด้านจีนคาดว่าในปีหน้าจะโตที่ระดับ 8% และในสัปดาห์ถัดไปเศรษฐกิจจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากได้ผู้นำคนใหม่ ซึ่งการฟื้นตัวของจีนในครั้งนี้จะเป็นไปแบบช้าเพื่อให้เติบโตอย่างยั่งยืน
“ทิสโก้มองว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะโตที่ 4.5% การส่งออกในปีหน้าจะขยายตัวที่ระดับ 7% แต่การบริโภคในประเทศยังเป็นปัจจัยการเติบโตหลัก” นายกำพลกล่าว
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด แนะนำการลงทุนในปีหน้าว่า สินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนดีที่น่าสนใจมีทั้งหุ้นและทองคำจะให้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ แต่ก็ยังมีความผันผวนจากเศรษฐกิจโลกอยู่ สินทรัพย์เสี่ยงที่ให้น้ำหนักการลงทุนในปีหน้าคือ หุ้นไทย หุ้นจีน ทองคำ ส่วนตราสารหนี้ในระยะยาวนั้นให้ลดน้ำหนักการลงทุนเพราะดอกเบี้ยผันผวน รวมทั้งหุ้นในกลุ่มยูโรโซนที่ยังมีปัญหาด้วยเช่นกัน ส่วนน้ำมัน ในระยะสั้นยังน่าลงทุนเพราะราคายังต่ำเพราะเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวกลับมา
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บล.ทิสโก้ ระบุว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 1,450-1,500 จุด โดยในปีนี้มองว่าอยู่ที่ระดับ 1,300 จุด จากเงินกองทุน LTF-RMF ที่จะเข้าซื้อในช่วงปลายปี โดยหุ้นในกลุ่มที่แนะนำในปีหน้าคือกลุ่มแบงก์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มขนส่ง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ทาวน์เฮาส์ในชานเมือง กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มค้าปลีก
ด้านนายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาฯ ไทย บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตทแอฟแฟร์ส กล่าวว่า การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ยังมีโอกาสที่ดี โดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวต่างจังหวัด ขณะเดียวกันมองว่าราคาค่าแรง 300 บาทที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อราคาอสังหาริมทรัพย์บ้าง แต่ก็ทำให้เกิดแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน และมองว่าการเปิดเสรีอาเซียนจะเป็นโอกาสการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศด้วยเช่นกัน
ส่วนโอกาสการลงทุนในเรื่องพลังงานนั้น นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมของการใช้พลังงานในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 1-2% จากความต้องการของประเทศในเอเชีย ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลต่อราคาน้ำมันยังเป็นเรื่องปัญหาในตะวันออกกลางเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มพลังงานของไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี แม้ว่าปัจจุบันราคาพลังงานยังนิ่ง แต่หุ้นในกลุ่มพลังงานยังสามารถจ่ายปันผลให้อย่างสม่ำเสมอ
นายกฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ บริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก คาดว่า ราคาทองคำในช่วงต้นปีหน้าจะไปถึงที่ระดับ 1,800 เหรียญ จากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป และอาจวิ่งไปถึงที่ระดับ 1,920 ได้ อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงมีความผันผวนบ้าง
นายพรชัย ประเสริฐสินธนา Mannging Director, Thailand Country Manager and Head of Equities, credit Suisse Securities (Thailand) Limted กล่าวว่า เรื่องของหน้าผาการคลัง หรือ fiscal Cliff เรามองว่าทั้งสองพรรคการเมืองน่าจะตกลงกันได้แต่อาจจะกินเวลาจนถึงช่วงนาทีสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญๆ ของสหรัฐฯ นั้นออกมาค่อนข้างดี ซึ่งนโยบายต่างๆ ของโอบามาน่าจะเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ในส่วนปัญหาอียูนั้นเรามองว่ายังมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก เราเองก็ยังไม่เห็นสัญญาณที่ดี ขณะเดียวกันนักลงทุนยังกังวลปัญหาของสเปน ซึ่งสเปนเองก็ยังไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากกลุ่มสหภาพอียู ส่วนภาพรวมของกลุ่มตลาดเกิดใหม่นั้นเราประเมินว่ามีการเติบโตค่อนข้างสูง โดยกลุ่มที่เราให้น้ำหนักคือ จีน เกาหลี และรัสเซีย
นายอดิเทพ วรรณพฤกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปีจะพบว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น 26% ซึ่งหลังจากมีปัญหาเรื่องน้ำท่วมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปค่อนข้างไวมาก
ขณะเดียวกัน การที่รัฐบาลมีเสถียรภาพส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจในเศรษฐกิจประกอบกับนโยบายภาครัฐที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจส่งผลให้เศรษฐกิจดีขึ้น โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยนั้นให้ผลตอบแทนที่ดี หากมองในส่วนของ P/E จะพบว่าตลาดหุ้นไทยนั้นไม่แพง
อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ยังคงเป็นตลาดที่ให้โอกาสแก่นักลงทุน โดยราคาก็อยู่ในระดับที่น่าสนใจลงทุน มีความยืดหยุ่นด้านนโยบาย และมีหนี้ภาครัฐน้อยลง นอกจากนี้ ผลจาก QE น่าจะทำให้มีเงินลงทุนจากนักลงทุนไหลเข้ามาลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่นี้มากขึ้น หากพิจารณาภาพรวมทางเศรษฐกิจของไทยและภูมิภาคเอเชียก็ถือว่ามีปัจจัยบวกการบริโภคที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง รวมทั้งยังมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ปัจจัยลบที่ยังต้องติดตามคือปัญหาการเมือง
“หุ้นกลุ่มโทรคมนาคม หุ้นกลุ่ม domestic play รวมถึงบริษัทที่กระแสเงินสดดี ให้เงินปันผลที่ดี นั้นก็น่าสนใจ”
สำหรับปลายปีนี้เราอยากแนะนำกองทุน LTF และ RMF ของ บลจ.อเบอร์ดีน โดยกองทุนเปิดอเบอร์ดีนหุ้นระยะยาว (ABLLTF) มีอัตราผลตอบแทนสูงเป็นที่หนึ่งในสามอันดับแรกในทุกช่วงเวลา จึงเป็นกองทุน LTF ที่สม่ำเสมอ ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2555 โดยลิปเปอร์ และได้รับการจัดอันดับเรตติ้งกองทุนเต็ม 5 ทุกเกณฑ์จากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและสม่ำเสมอ เป็นกองทุนหุ้นระยะยาวเพียงกองทุนเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการจัดอันดับนี้จากลิปเปอร์อีกด้วย