xs
xsm
sm
md
lg

วรรณแนะเก็บ “LTF-RMF” ชี้กองบอนด์ยิลด์เริ่มต่ำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บลจ.วรรณแนะชิงจังหวะหุ้นปรับฐานเพิ่มลงทุนกอง “LTF-RMF” ระบุกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นเริ่มให้ผลตอบแทนลดลงแล้วหลัง ธปท.ปรับลดดอกเบี้ย มั่นใจแนวโน้มหุ้นไทยดีเศรษฐกิจแกร่ง หนุนบริษัทจดทะเบียนปีหน้าโตอีก 15%

นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ในแง่ของการลงทุนในตราสารหนี้หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 2.75% ต่อปี และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 2.5% ในปีหน้า ทำให้การลงทุนในตลาดเงิน หรือกองทุนประเภท Term Fund อาจจะยังไม่ใช่จังหวะที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนได้สูง เช่น กองทุนประเภท Fixed Term เช่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน ก็จะให้ผลตอบแทนที่ลดลงหลังจากนี้

ทั้งนี้ บริษัทอยากแนะนำให้นักลงทุนควรมองหาทางเลือกอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ที่อายุยาวขึ้น หรือกองทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นกองทุนหุ้น หรือกองทุนทองคำ นายวินได้มองกรอบของทองคำในไตรมาสสุดท้ายปีนี้อยู่ที่ 1,650-1,750 ดอลลาร์/ออนซ์ และน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ที่ระดับ 106-115 ดอลลาร์/บาร์เรล นับว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมในการเริ่มลงทุนในกองทุนประเภท LTF และ RMF

สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว บลจ.วรรณแนะนำให้ลงทุนในกองทุน 1SG-LTF โดยผลตอบแทนตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงปัจจุบันอยู่ที่ 36.01% ในขณะที่ผลตอบแทนจากดัชนี SET Index อยู่ที่ 26.03% และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) บริษัทแนะนำนักลงทุน เริ่มลงทุนในกองทุน GOLD-RMF เนื่องจาก บลจ.วรรณมีมุมมองบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างทองคำที่มีความน่าสนใจในระยะกลางและยาว และ V-RMF ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีและหุ้นคุณค่า (Valued Stock)

นายวินกล่าวอีกว่า เหตุที่แนะนำให้ลงทุนในกองทุนดังกล่าวข้างต้นเนื่องจากบริษัทมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป จะชะลอตัวลง ซึ่งสะท้อนได้จากผลประกอบการของบริษัทที่ได้ประกาศออกมาบ้างแล้ว และประเมินว่าอาจจะเห็นดัชนีแตะระดับ 1,250 จุด เนื่องจากการเทขายเพื่อทำกำไรหลังจากดัชนีแตะขึ้นไปถึงระดับ 1,310 จุดในสัปดาห์ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ยังมีหลายประเด็นที่ต้องจับตามอง คือการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ การเปลี่ยนผู้นำของจีน และการที่กรีซรอผลการอนุมัติขอเงินกู้รอบใหม่จากกลุ่มทรอยกา นายวินยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยเน้นว่าตลาดยังคงได้รับผลดีจากสภาพคล่องที่สูง ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่ และผลประกอบการของบริษัทไทยยังมีความแข็งแกร่ง รวมไปถึงการกระตุ้นจากภาครัฐในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน

“เราประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้ประมาณ 5.3% และปีหน้าจะเติบโตประมาณ 4.7% ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปี 2013 น่าจะสามารถเติบโตได้ประมาณ 15% เทียบจากปีก่อนหน้า และจากอัตราการจ่ายเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยที่ 3.8% นั้นจัดว่าอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นใน AEC อย่างเช่นประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย นอกจากนั้นยังมีเงินอัดฉีดจากภาครัฐซึ่งมาจากงบประมาณของรัฐบาลในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางรถไฟ ถนน และการจัดการปัญหาน้ำของประเทศไทย ดังนั้น จะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน” นายวินกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น