บลจ.กสิกรไทยคาดกองทุน LTF-RMF ทั้งระบบปีนี้โต 15% ตั้งเป้าทั้งปีรั้งเบอร์หนึ่งครองส่วนแบ่งตลาด 31% หรือยอดซื้อแตะ 5.9 หมื่นล้านบาท ล่าสุดออกกองทุน RMF ใหม่ เน้นกระจายเสี่ยงลงทุนแบบผสมทั่วโลก เปิดขายระหว่างวันที่ 9-27 พฤศจิกายนนี้ พร้อมระบุเศรษฐกิจมะกันยังต้องฟื้นความเชื่อมั่น ใครเป็นประธานาธิบดีก็ไม่ต่างกัน ขณะที่เอเชีย-ไทยแจ่มกว่า SET ปีหน้าอาจแตะ 1,450 จุด
นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุน RMF-LTF ในปี 2554 ที่ผ่านมามีผู้ซื้อกองทุน RMF-LTF ทั้งอุตสาหกรรมเพิ่มเป็น 300,000 แสนราย จากประมาณ 240,000 รายในปี 2553 หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 22% ขณะเดียวกัน ในปี 2554 จำนวนผู้เสียภาษีในฐานภาษีอยู่ที่ประมาณ 500,000 ราย โดยสัดส่วนจำนวนผู้ซื้อกองทุน RMF-LTF อยู่ 52%
ส่วนการลงทุนในกองทุน RMF และ LTF ในช่วงนี้จะมีนักลงทุนเริ่มทยอยเข้ามาซื้อบ้างแล้ว เนื่องจากว่าตลาดของทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวค่อนข้างที่จะมีความผันผวน แต่เม็ดเงินลงทุนยังไหลเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เพราะจะเห็นไว้ว่าตลาดหุ้นไทยมีกำไรเข้ามามาก
ทั้งนี้ คาดว่าในปีนี้ยอดซื้อจะอยู่ที่ประมาณ 59,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 15% โดยบริษัทยังคงครองความเป็นที่ 1 ในอุตสาหกรรม โดยมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 31%
ล่าสุดบริษัทฯ กำลังจะเปิดขายกองทุนเปิด เค จะเสนอขายกองทุนเปิดเค โกลบอล แอลโลเคชั่นเพื่อการเลี้ยงชีพ (KGARMF) เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อความมั่นคงในวัยเกษียณกับกองทุน RMF และต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก ควบคู่ไปกับการลดความผันผวนจากทุกสภาวะตลาด
โดยจะเริ่มเปิดขายในวันที่ 9-27 พฤศจิกายน 2555 ซึ่งนโยบายการลงทุนของกองทุนดังกล่าวจะเข้าไปลงทุนในกองทุนหลักต่างประเทศ คือ กองทุน BGF-Global Allocation ซึ่งลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้น และตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วโลก โดยไม่จำกัดสัดส่วนการลงทุนและสามารถยืดหยุ่นได้ตามสภาวะตลาด พร้อมนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ
“กองทุนหลักในต่างประเทศมีพอร์ตการลงทุนแบบผสมซึ่งจัดสรรการลงทุนแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ มีการกระจายการลงทุนไปในหุ้นและตราสารหนี้ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกกว่า 700 หลักทรัพย์ในหลากหลายประเภทและหมวดธุรกิจ พร้อมการปรับสัดส่วนการลงทุนอย่างเหมาะสมในแต่ละสภาวะตลาด จึงถือเป็นตัวช่วยในการจัดสรรเงินลงทุนเพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจพร้อมทั้งลดความผันผวนจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี ” นายอำพล กล่าว
นอกจากนี้ กองทุนหลักยังมีผลการดำเนินงานที่น่าสนใจทั้งในสภาวะตลาดซบเซาและตลาดขาขึ้น โดยที่ผ่านมาในรอบ 15 ปีมีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกถึง 12 ปี และเป็นหนึ่งในกองทุนที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นทางเลือกในการวางแผนการออมเพื่อการเกษียณ 401K ของมนุษย์เงินเดือนชาวอเมริกันอีกด้วย
ชี้ใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังมีงานยุ่ง
นายประเสริฐ ขนบธรรมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บลจ.กสิกรไทย จำกัด กล่าวอีกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกหลังจากนี้ การเรื่องตั้งที่สหรัฐฯ ไม่ว่าใครจะได้ก็ตามยังคงต้องใช้เวลากับการสร้างความเชื่อมั่น เนื่องจากว่าตลาดยังคงมีความเสี่ยงอยู่ และยังมีความกังวลอยู่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มองว่าในปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น เนื่องจากมีการสร้างงาน และมีการซื้อบ้านเข้ามาบ้างแล้ว ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าปัจจุบันความเสี่ยงเริ่มน้อยลงเมื่อเทียบจากช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อเทียบกับความเสี่ยงแล้วยุโรปค่อนข้างที่จะมีความรุนแรงมากกว่า และหลังจากนี้จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน การลงทุนในแถบเอเชียและตลาดเกิดใหม่กลับดีขึ้น นักลงทุนต่างให้การตอบรับมากขึ้น แต่ยังต้องมีการประเมินตามสถานการณ์เป็นระยะๆ ขณะเดียวกัน การลงทุนในหุ้นจีนก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ เพราะมองว่าการเติบโตของประเทศจีนจะโตอยู่ในระดับ 6-7% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่สูง
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยหลังจากนี้ นายอำพลกล่าวว่า ช่วง 2 เดือนที่เหลือของปีหน้าคาดว่าดัชนีไทยจะปรับตัวแตะที่ 1,450 จุดได้ โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจเป็นกลุ่มบริโภคในประเทศ ส่วนกำไรของตลาดอุตสาหกรรม บลจ. คาดว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ 15%