โตเกียวมารีนประกันภัยลั่นพร้อมลุยรับงานเต็มสูบ หลังปรับโครงสร้างเพิ่มทุนจากญี่ป่นตามเกณฑ์ผ่อนผันของ คปภ. เผยยอด 9 เดือนเบี้ยประกันภัยรับกว่า 5.4 พันล้าน ดันกำไรแตะ 250 ล้านบาท ระบุนักลงทุนญี่ปุ่นยังไม่ทิ้งไทย ครึ่งปี 55 มีการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายหลักชัย สุทธิชูจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังสถานการณ์น้ำท่วมบริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นและเพิ่มทุนใหม่เพื่อรองรับการดำเนินงานของบริษัท โดยมีบริษัทโตเกียวมารีนของประเทศญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนถึง 99% เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อได้หลังจากบริษัทได้รับผลกระทบจากการจ่ายสินไหมน้ำท่วมเป็นจำนวนมาก
“การเข้ามาถือหุ้นของบริษัทแม่จากญี่ปุ่นนั้นเป็นไปตามเกณฑ์การผ่อนผันของทางคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย สำหรับบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมสามารถให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นเกินสัดส่วนที่กำหนดไว้ 49% ได้เป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งหลังจากนั้นจะต้องหาผู้ร่วมทุนใหม่ที่เป็นคนไทย”
ส่วนผลการดำเนินงานหลังน้ำท่วมในปีนี้บริษัทมีผลการดำเนินงาน 9 เดือนมียอดเบี้ยประกันภัยรับถึง 5.4 พันล้านบาท หรือมีอัตราเติบโตประมาณ 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังสามารถมีกำไรทั้งจากการรับประกันภัยและการลงทุนรวมกันถึงกว่า 250 ล้านบาทอีกด้วย
ทั้งนี้ เชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้การเติบโตของเบี้ยประกันภัยน่าจะสูงกว่าเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ เนื่องจากอุตสาหกรรมประกันภัยมีการเติบโตสูงมากคือประมาณ 25% โดยมีปัจจัยหลัก 2 ประการ ประกอบด้วย 1. การเติบโตของยอดจำหน่ายรถยนต์จากนโยบายรถคันแรก และยอดคงค้างของการจำหน่ายรถยนต์ที่ประสบปัญหาจากน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา 2. การเติบโตของการรับประกันภัยทรัพย์สิน เนื่องจากการนำเข้าเครื่องจักรใหม่ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม และการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงอัตราเบี้ยประกันภัยที่เพิ่มสูงขึ้นตามความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่
ส่วนการเติบโตของบริษัทในปีหน้า นายหลักชัยกล่าวว่า การเติบโตของบริษัทในปีหน้าคงจะอยู่ในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม ซึ่งแนวโน้มของอุตสาหกรรมประกันภัยในปีหนัาคงจะเติบโตได้ประมาณ 6-7% โดยบริษัทเองอย่างน้อยน่าจะมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นได้ไม่ต่ำกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน
ด้าน มร.ยาซูโตชิ คนไน กรรมการผู้จัดการ บริษัทโตเกียวมารีน เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทญี่ปุ่นที่มีการลงทุนในประเทศไทยได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมค่อนข้างเยอะแต่ปัจจุบันสามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติแล้ว ซึ่งเท่าที่ดูจากข้อมูลพบว่า บริษัทญี่ปุ่นที่มีการปิดกิจการหรือย้ายฐานการผลิตหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมมีค่อนข้างน้อย
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมายังพบว่าการลงทุนของประเทศญี่ปุ่นในประเทศไทยยังมีตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอีกด้วย ซึ่งบริษัทยังเชื่อมั่นการลงทุนของประเทศไทยในระยะยาวเช่นกัน
“การลงทุนในระยะยาวกับประะเทศไทยเป็นความตั้งใจของบริษัทอยู่แล้ว ส่วนการลงทุนเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั้น ตอนนี้โตเกียวมารีนประเทศญี่ปุ่นมีสาขาอยู่ทั้งในมาเลย์ ฟิลิปปินส์ อินโดฯ เวียดนาม และพม่าอยู่แล้ว แต่จะขาดเพียงที่ประเทศกัมพูชาที่ยังต้องอยู่ในความดูแลของสาขาไทยเท่านั้น ซึ่งเราก็เชื่อว่าน่าจะรองรับการเปิดเสรีในด้านนี้ได้”
