xs
xsm
sm
md
lg

การกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง (Diversification)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บทความโดยทีมงานจัดการกองทุนบัวหลวง
และวิภพ เฉลียวจิตติกุล

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ประเมินว่า ประชากรไทยในปัจจุบันมีโอกาสที่จะมีอายุยืนยาวขึ้น เนื่องจากความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยปัจจุบันประชากรไทยมีอายุขัยเฉลี่ยที่ 73 ปี และคาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 80 ปี

คำถามที่ตามมาก็คือ บุคคลที่อยู่ในช่วงวัยใกล้เกษียณคือ 50 ปีขึ้นไปซึ่งมักจะฝากเงินและลงทุนในพันธบัตรกับตราสารหนี้อย่างเดียวนั้น ต่อไปนี้จะลงทุนอย่างไรภายใต้ภาวะดอกเบี้ยต่ำอย่างทุกวันนี้ เพื่อให้เงินงอกเงยเพียงพอกับการใช้จ่ายในอนาคต และจะทำอย่างไรอำนาจของเงินที่สะสมไว้ใช้ในวัยเกษียณแล้วถึงจะไม่ถูกลิดรอนด้วยภาวะเงินเฟ้อ เพราะหากจะทำแบบเดิมคือฝากเงินและลงทุนในพันธบัตรกับตราสารหนี้เท่านั้น อัตราดอกเบี้ยก็มีทีท่าว่าจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกยาวนาน และยังจะพบกับภาวะเงินเฟ้อซึ่งเป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินของธนาคารกลางต่างๆ เข้าไปในระบบ (QE) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเพราะการรับประกันเงินฝากเต็มจำนวนจะลดเหลือแค่ 1 ล้านบาท ในช่วงปลายปี 2559 อีกด้วย

การกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง (Portfolio Diversification) และเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นคือคำตอบ นั่นคือควรแบ่งเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ บ้าง แทนที่จะฝากเงินและลงทุนในตราสารหนี้กับพันธบัตรเพียงกลุ่มเดียว

แล้วจะให้พิจารณาแบ่งเงินไปลงทุนในอะไร ?

คำตอบแรกคือ หุ้นเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าพิจารณาลงทุนเอาไว้บ้าง

เพราะแม้จะมีความผันผวนไม่แน่นอนในระยะสั้นจากผลกระทบของปัญหาในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่หุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มที่ดีตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการบริโภคในประเทศที่ยังเติบโตได้ดีเ นื่องจากภาครัฐมีการใช้จ่ายและจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงรายได้ขั้นต่ำที่จะเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจากการรวมกัน ทั้งในแง่ของการลงทุน การบริโภค และการเดินทางของ 10 ประเทศที่มีประชากรรวมกันกว่า 590 ล้านคน และมี GDP รวมกันราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งการเกิด Asean Trading Link ก็จะเชื่อมโยงตลาดทุนในอาเซียนเข้าด้วยกัน

ที่ระบุข้างต้นทั้งหมดนั้น จะเป็นปัจจัยเชิงบวกที่ช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดทุนหรือหุ้นในระยะยาว

นอกจากหุ้นแล้ว เรายังมีทองคำเป็นคำตอบที่สองให้พิจารณาแบ่งเงินไปลงทุน

การลงทุนในทองคำนั้น นอกจากจะช่วยรักษาอำนาจซื้อหรือทำให้สู้กับเงินเฟ้อได้แล้ว ยังเปรียบได้กับการลงทุนในสกุลเงินหนึ่งซึ่งมีผลผลิตจำกัด โดยทองคำจะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของสกุลเงินหลักต่างๆ จากภาวะสงครามค่าเงินในปัจจุบันที่ธนาคารกลางต่างๆ พยายามอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกดดันค่าเงินของตนให้อ่อนลงเพื่อประโยชน์ในการส่งออก

ควรกระจายการลงทุนไปในสินค้าเกษตรหรือน้ำมันด้วยหรือไม่ ?

สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่เศรษฐีมีเงินเป็นถุงเป็นถังให้เสี่ยงได้มากๆ นั้น การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์อื่น เช่น สินค้าเกษตรหรือน้ำมัน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากสินค้าเกษตรหรือน้ำมันเป็นสินทรัพย์ประเภทวัฏจักร จึงมีความผันผวนด้านราคาสูงในแต่ละปีตามความต้องการบริโภคและผลผลิตในปีนั้นๆ โดยราคาสินค้าเกษตรจะผันผวนไปตามสภาพลมฟ้าอากาศ เช่น ปรากฎการณ์ El Nino หรือ La Nina

ตัวอย่างภาพวัฏจักรของราคาสินค้าเกษตรที่เห็นได้ชัดเจนคือ ราคายางพาราซึ่งเคยปรับตัวขึ้นไปอยู่ราว 180 บาท/ก.ก. ในปี 2554 แต่ ณ ปัจจุบัน ไทย อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่รวมกันถึง 70% ของโลก ยังต้องช่วยกันจำกัดการส่งออกยางพาราเพื่อไม่ให้ราคายางพาราตกต่ำ (ราคาปัจจุบันอยู่ที่ราว 100 บาท/ก.ก.)

สำหรับการลงทุนในน้ำมันนั้น มีความกังวลว่าสหภาพยุโรปซึ่งมีส่วนแบ่ง GDP สูงที่สุดถึงกว่า 30% ของเศรษฐกิจโลก กำลังอยู่ในช่วงใช้มาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง การใช้น้ำมันก็จะลดลงตามไปด้วย ยกเว้นจะมีเหตุการณ์ผิดปกติเช่นสงครามเกิดขึ้น ดังนั้น น้ำมันจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก

สรุปก็คือ ในการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง นักลงทุนควรลงทุนบนพื้นฐานของความเข้าใจในสินทรัพย์นั้นๆ ซึ่งต้องอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ตนสามารถยอมรับได้ด้วย

แต่ปัญหาคือผู้ลงทุนมักจะไม่เข้าใจ ตามไม่ทัน หรือไม่มีเวลาพอ

ในกรณีอย่างนี้ บลจ.บัวหลวง ขอแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในช่วงที่ใกล้เกษียณหรือเกษียณแล้ว หรือผู้ลงทุนวัยอื่นที่ต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่ตอบโจทย์ข้างต้นได้ ไปเลือกลงทุนในกองทุนรวมซึ่งเป็นกองทุนผสมที่มีการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เพื่อให้มีความสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทนที่จะได้รับ โดยเป็นกองทุนรวมกองเดียวที่ลงทุนทั้งในเงินฝาก ตราสารหนี้ พันธบัตร หุ้น และทองคำ ในสัดส่วนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า

ในอนาคตอันใกล้ เมื่อ บลจ.บัวหลวง ออกกองทุนผสมแบบนี้ น่าจะทำให้ผู้ลงทุนส่วนหนึ่ง มีความสะดวกสบายมากขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลว่าจะกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อะไร เท่าใด และไม่ต้องห่วงว่าเมื่อไหร่จะต้องลดต้องเพิ่มสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง


กำลังโหลดความคิดเห็น