เอไอเอประเทศไทยลั่นดันไทยขึ้นเบอร์หนึ่งตลาดประกันชีวิตเอเชียใน 3-5 ปี แซงฮ่องกง พร้อมอ้อน คปภ.ไฟเขียวลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์ผ่าน ETF ได้ มั่นใจทองคำจะช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น เชื่อการตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพยุโรป และ QE รอบ 3 ช่วยพยุงสถานการณ์ระยะสั้นเท่านั้น แต่ระยะยาวต้องแก้ปัญหาจากต้นเหตุ
นายอนุชา เหล่าขวัญสถิต ผู้จัดการทั่วไป และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุน บริษัท เอไอเอ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันประเทศไทยนับเป็นตลาดประกันชีวิตที่ใหญ่อันดับ 2 รองจากฮ่องกงของกลุ่มบริษัทเอไอเอจากทั้งหมด 14 ประเทศสาขาทั่วเอเชียแปซิฟิก
ทั้งนี้ เชื่อว่าจากแนวโน้มดังกล่าว ภายในระยะเวลา 3-5 ปีหลังจากนี้ประเทศไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นตลาดประกันชีวิตอันดับหนึ่งของกลุ่มเอไอเอได้
“ตอนนี้เราใกล้เคียงกับฮ่องกงมาก และในปีนี้ก็อยู่ในแนวโน้มที่จะแซงได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันเราเพิ่งมีกรมธรรม์ครบ 6 ล้านฉบับเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา แต่จะวัดจากตรงนี้ไม่ได้ โดยที่เขานำมาเทียบกันจะเป็นส่วน Value of new Business ซึ่งจะเป็นส่วนที่นักลงทุนให้ความสนใจ”
อย่างไรก็ตาม นอกจากตลาดประกันชีวิตในประเทศไทยแล้ว กลุ่มบริษัทเอไอเอยังมีความพยายามที่จะรุกตลาดภายในประเทศจีน ซึ่งหากสามารถแข่งขันกับบริษัทประกันชีวิตท้องถิ่นของจีนได้ เชื่อว่าตลาดจีนน่าจะเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เนื่องจากปัจจุบันจีนยังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
นายอนุชา กล่าวต่อว่า ในส่วนของการลงทุนในปีนี้ยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และในส่วนของหุ้นเชื่อว่าจะยังคงสัดส่วนที่ 10% หลังจากมีการขายทำกำไรไปแล้วในช่วงต้นปี โดยปัจจัยเสี่ยงที่บริษัทจับตามองเป็นพิเศษคือ การตัดสินของศาลเยอรมนีจากกรณีการลงนามในการจัดตั้งกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ว่าสามารถทำได้หรือไม่
ส่วนมาตรการเพิ่มปริมาณเงินในระบบ (QE) รอบ 3 ของเฟดเชื่อว่าน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในด้านสภาพคล่อง ซึ่งจะเห็นได้จากราคาทองคำ และราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ถึงแม้จะไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานของสินค้าทั้ง 2 ชนิดก็ตาม
“มาตรการทั้ง 2 อย่างนี้คงแค่ช่วยพยุงได้ในระยะสั้น แต่ส่วนตัวมองว่าในระยะยาวทั้งยุโรปและสหรัฐฯ จะยังมีปัญหาอยู่หากยังไม่ได้แก้จากพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันบริษัทเรามีพอร์ตลงทุนอยู่ 5.5 แสนล้านบาท และเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% ทุกปี โดยยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะปรับพอร์ตหุ้นเพิ่มเป็น 15% หรือไม่เนื่องจากต้องดูสถานการณ์ก่อน”
อย่างไรก็ตาม นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากการปรับพอร์ตการลงทุนแล้ว สิ่งที่บริษัทพยายามนำเสนอต่อทางคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คือ การขยายการลงทุนให้สามารถลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ผ่านกองทุน ETF ได้ ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถกระจายการลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น ทั้งในทองคำ และน้ำมัน รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
ส่วนการขยายเพดานการลงทุนขณะนี้คาดว่าทาง คปภ.กำลังพยายามปรับเกณฑ์การลงทุนอยู่ และมีความเป็นไปได้ที่จะดูจากความแข็งแกร่งของเงินกองทุน ซึ่งจากเดิมที่จะมีการกำหนดเพดานการลงทุนเอาไว้ แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงจะทำให้บริษัทสามารถลงทุนในหุ้นได้มากขึ้น โดยดูจากเงินกองทุนของแต่ละบริษัท
“การลงทุนในทองคำเราก็สนใจ เพราะมันช่วยกระจายความเสี่ยงได้ ซึ่งที่ผ่านมาถึงแม้จะมีข้อห้ามอยู่ก็ยังมีช่องว่างที่สามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ โดยสามารถออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทอยูนิตลิงก์ก็ได้ แต่เราไม่ต้องการทำอะไรที่ไม่ชัดเจน ซึ่งหากมีความชัดเจนออกมาเลยว่าสามารถลงทุนในอีทีเอฟได้เมื่อไรเราก็มีความสนใจที่จะลงทุนเช่นกัน”