xs
xsm
sm
md
lg

ไทยประกันฯ ย้ำชัดพร้อมแข่ง AEC เล็งปรับพอร์ตช้อนหุ้นไทยเพิ่มอีก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ไทยประกันชีวิตย้ำความพร้อมแข่งเปิดเสรีการเงินอาเซียน ยันแปรรูปเป็นมหาชนแต่ไม่กระจายหุ้นในตลาดฯ ขณะเดียวกันเล็งปรับพอร์ตใหม่ลุยหุ้นเพิ่มอีก 2-3% หลังพบของดีราคาถูกน่าช้อนเก็บอื้อ คาดทั้งปีผลตอบแทนดีขึ้นอีก 0.5% แม้ต้องเผชิญความผันผวนของตลาด

นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า การปรับตัวรองรับ AEC กับการรองรับการแข่งขันที่รุนแรงนั้น ไทยประกันชีวิตได้มีการปรับตัวมาตลอด โดยใน 10 ปีที่ผ่านมาที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ไทยประกันชีวิตได้ประกาศว่าจะเป็นบริษัทประกันระดับสากล และที่ผ่านมา 10 ปี ไทยประกันชีวิตก็ได้มีการออกนวัตกรรมใหม่ๆ มาตลอด ทั้งมีกรมธรรม์สำหรับคนพิการ ทหาร และอีกหลากหลาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือวิวัฒนาการที่ทำให้ไทยประกันชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ขณะที่แผนการแปรรูปบริษัทเป็นมหาชนนั้นเชื่อว่าทุกบริษัทต้องดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งบริษัทไทยประกันชีวิตก็เช่นกัน เพียงแต่ในส่วนของบริษัทถึงแม้จะมีการแปรรูปแต่คงไม่จำเป็นที่จะต้องนำหลักทรัพย์เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ส่วนกลยุทธ์ของบริษัทต่อจากนี้จะยังมุ่งเน้น Customer Equity หรือการยึดลูกค้าเป็นทุน เพราะหากลูกค้ารัก และพอใจในการทำธุรกรรมแล้วเขาก็จะอยู่กับเราตลอดไป หากลูกค้าไม่รักก็ต้องจากไป และที่สำคัญ การยึดลูกค้าเป็นทุนนั้นใช้กับธุรกิจบริการการเงินได้เป็นอย่างดี ซึ่ง Customer Equity เป็นการพัฒนาการมาจากการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางนั่นเอง ณ วันนี้ ต้องทำให้ลูกค้าเป็นทุนของบริษัทได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อปกป้องตัวเรา ตัวอย่างที่จะเห็นได้ชัดคือ กรณีที่มีคนมาบอกว่าบริษัทนี้เคลมไม่ดี แต่หากเป็น Customer Equity เขาจะบอกว่า จริงๆ ไม่ใช่ เพราะตัวเขาเองก็เป็นลูกค้าบริษัทนี้ ได้รับการเคลมที่ดี

นอกจากเน้น ลูกค้าเป็นทุน แล้ว ก็เน้นการสร้างความสมดุลในการดำเนินธุรกิจให้เกิดขึ้นแก่ลูกค้า พนักงาน พันธมิตร ผู้ถือหุ้น และสังคม เพื่อให้บริษัทมีการเติบโตแบบยั่งยืน นั่นหมายความว่า จากนี้ไปจะไม่ยึดติดกับส่วนแบ่งการครองตลาด หรือมาร์เกตแชร์ เพราะธุรกิจประกันชีวิตต่างจากธุรกิจอุปโภคบริโภคที่ซื้อมาขายไปเพื่อให้มีกำไร

นางวรางค์ ไชยวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของบริษัท ณ 31 มีนาคม 2555 เม็ดเงินลงทุนรวม 1.58 แสนล้านบาท ผลตอบแทนราคาบัญชีอยู่ที่ 5.00% แบ่งสัดส่วนการลงทุนออกเป็น ลงทุนในพันธบัตร 50.75% หรือกว่า 8 หมื่นล้านบาท ตั๋วเงิน 18.82% คิดเป็น 2.9 หมื่นล้านบาท หุ้นกู้ 16.69% คิดเป็น 2.6 หมื่นล้านบาท เงินฝาก 6.94% คิดเป็น 1 หมื่นล้านบาท พันธบัตรต่างประเทศ 2.19% คิดเป็น 3.4 พันล้านบาท หุ้นสามัญ 3.70% คิดเป็น 5.8 พันล้านบาท และหน่วยลงทุน 0.90% คิดเป็น 1.4 พันล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น แม้ขณะนี้จะมีความผันผวนค่อนข้างสูง แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากหุ้นคุณภาพดีหลายตัวมีการปรับตัวลดลงมาอย่างมาก นอกจากนี้ คาดว่าถึงแม้กลุ่มยูโรโซนจะประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจ แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตอยู่

“ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้มีการปรับพอร์ตการลงทุนแต่อย่างใด แต่ตอนนี้เรามีแผนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตการลงทุนหุ้นจากเดิมที่ 3.70% อีก 2-3% และคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมประมาณ 0.5% จากที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5% ซึ่งความผันผวนของหุ้นไทยขณะนี้นับเป็นจังหวะดีที่จะเข้าไปลงทุน แต่คงจะทยอยเก็บไปเรื่อยๆ มากกว่า” นางวรางค์กล่าว

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศบริษัทยังคงเน้นลงทุนในพันธบัตรประเทศแถบเอเชียเป็นหลัก ส่วนการลงทุนในพันธบัตรไทยนั้น ขณะนี้จะเน้นพันธบัตรที่มีอายุประมาณ 40-50 ปีเพื่อให้สอดคล้องกับสินค้า และเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งในการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (RBC) ที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.กำหนด
กำลังโหลดความคิดเห็น