ทิพยประกันชีวิตลั่นปีนี้กวาดเบี้ยสามัญแตะ 1 พันล้าน หลังยอดครึ่งปีทะลุ 300 ล้านบาทแล้ว มั่นใจครึ่งปีหลังคนแห่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีดันยอดมากขึ้น แถมมั่นใจผู้ถือหุ้นแกร่งช่วยเสริม ขณะเดียวกันตั้งเป้าปี 58 เข้าเทรดในตลาดหุ้นหวังเพิ่มความแข็งแกร่ง-โปร่งใส
นายบรรพต หงษ์ทอง ประธานกรรมการ บริษัททิพยประกันชีวิต เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้น่าจะปรับตัวเพิ่มจากปีที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าจะมีเบี้ยปีแรกของการประกันชีวิตแบบสามัญอยู่ในระดับ 1 พันล้านบาทได้ภายในสิ้นปีนี้ หลังจากในปี 2554 มีเบี้ยปีแรกเข้ามาเพียง 200 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทสามารถทำเบี้ยปีแรกในช่วงครึ่งปีได้แล้วถึง 300 ล้านบาท และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านบาทได้ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
สำหรับสาเหตุที่การเติบโตของบริษัทเป็นไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากบริษัทมีโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งผลักดันให้การทำธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่น อีกทั้งในช่วงครึ่งหลังของปีมักจะมีเบี้ยประกันชีวิตเข้ามาในธุรกิจเป็นจำนวนมาก จากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
“ช่วงที่ผ่านมาเราเติบโตจากประกันสินเชื่อมอร์เกจเป็นหลัก โดยเฉพาะจากความร่วมมือกับธนาคารออมสิน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในส่วนของการประกันชีวิตประเภทสามัญในปีนี้น่าจะเติบโตขึ้นประมาณ 25% เมื่อเทียบจากปีที่แล้ว ซึ่งทางบริษัทได้มีการเร่งขยายตัวช่องทางตัวแทนมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนตัวแทนอยู่ประมาณ 500 คน และน่าจะเพิ่มขึ้นได้ถึง 1,000 คนภายในสิ้นปีนี้”
นายบรรพต กล่าวอีกว่า นอกจากการขยายงานด้านการรับประกันชีวิตแบบสามัญแล้ว บริษัทจะเน้นการขยายงานในส่วนของการประกันกลุ่มและการประกันสินเชื่อมอร์เกจมากขึ้นด้วย ถึงแม้สินค้าทั้ง 2 ประเภทนี้จะมีความสูงกว่าประกันชีวิตแบบสามัญก็ตาม
“เรามีปรัชญาว่าจะไม่แย่งกับใคร ซึ่งเราจะแข่งกับตัวเอง และสินค้า 2 ตัวนี้เป็นส่วนที่เราจะให้ความสำคัญ โดยจะเซฟด้านคุณภาพของการประกันกลุ่มเพราะมีความเสี่ยงสูง ส่วนมอร์เกจเองถึงแม้จะมีความเสี่ยงมากแต่ทางบริษัทเชื่อว่าจะสามารถจัดการได้ เนื่องจากเรามีระบบการประกันภัยต่อที่มีประสิทธิภาพ และส่วนหนึ่งก็มาจากความแข็งแกร่งของผู้ถือหุ้นเราที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้”
ส่วนการขยายฐานลูกค้าบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าตามพื้นที่ โดยในส่วนของกรุงเทพฯ และปริมณฑลบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงบน ขณะที่ในต่างจังหวัดบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่างเป็นหลัก
นายบรรพต กล่าวอีกว่า นอกจากกลยุทธ์ในการดำเนินงานข้างต้นแล้ว บริษัทมีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนและระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในปี 2558 และจะให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนถึง 3,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการเพิ่มทุนก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้อยู่ที่ 2,400 ล้านบาท และทำการกระจายหุ้นให้แก่นักลงทุนทั่วไปอีกประมาณ 600 ล้านบาท
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทก่อนการเข้าจดทะเบียนจะแบ่งเป็น ธนาคารออมสิน 20% ทิพยประกันภัย 20% กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่ 15% กลุ่มพานิชชีวะ 15% และกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมอีก 30%
