ทิพยประกันชีวิตฝันปี 58 กวาดเบี้ย 1.5 หมื่นล้านบาท มั่นใจปีนี้เบี้ยเข้าเป้าแน่ 3,000 ล้าบาท แม้ไตรมาสแรกทำได้แค่ 200 ล้านบาท แต่เชื่อช่วงที่เหลือแบงก์รัฐพันธมิตรช่วยหนุนยอดเข้าเป้า พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์วันสตอปเซอร์วิส หวังขายทั้งประกันชีวิตควบประกันภัยในอนาคต
นายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัททิพยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของบริษัทสามารถทำเบี้ยรับรวมได้เพียง 200 ล้านบาท เนื่องจากเป็นไปตามธรรมชาติของธุรกิจประกันชีวิตในช่วงนี้ที่ยังไม่คึกคักมากนัก แต่เชื่อว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี และทำให้เบี้ยรับรวมเป็นไปตามเป้าครึ่งปีทีวางไว้ 1,500 ล้านบาทได้
ส่วนทั้งปีบริษัทยังมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างเบี้ยรับรวมได้ถึง 3,000 ล้านบาท โดยจะแบ่งออเป็นรายได้จาก 3 กลุ่มด้วยกัน คือ 1.กลุ่มเบี้ยประกันสามัญทั่วไป 10% หรือ 300 ล้านบา 2.กลุ่มเบี้ยประกันกลุ่ม 35% หรือ 1,050 ล้าบาท และสุดท้ายกลุ่มที่ 3.เบี้ยประกันชีวิตคุ้มครอง สินเชื่อ 55% หรือ1,650 ล้านบาท
"ช่วงไตรมาสแรกทุกบริษัทเงียบหมด ส่วนของเราเชื่อว่าจะทำได้ดีต่อจากนี้ โดยเฉพาะในส่วนของการคุ้มครองสินเชื่อกับธนาคาร ซึ่งเรามีพันธมิตรเป็นแบงก์รัฐหลายแห่งรวมถึงธนาคารออมสิน ซึ่งจะทำให้เบี้ยในส่วนนี้เข้ามามากที่สุด"
นายศรัณย์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการเพิ่มทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัทขณะนี้ บริษัทเตรียมที่จะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 891 ล้านบาท จากเดิมที่มีอยู่แล้วประมาณ 400 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จในเดือนหน้า ส่วนใน 2 ปีข้างหน้าบริษัทตั้งเป้าการเพิ่มทุนจดเบียนเป็น 3,420 ล้านบาท โดยในปี 2556 จะมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 900 ล้านบาทและมีเบี้ยรับรวม 5,000 ล้านบาท ปี 2557จะมีทุนจดทะเบียนเป็น 3,420 ล้านบาท เบี้ยรับรวม5,750 ล้านบาท และในปี 2558 บริษัทน่าจะสามารถทำเบี้ยรับรวมได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นในเดือนหน้าที่จะมีการเพิ่มทุนนั้นจะแบ่งเป็น ธนาคารออมสิน 21% ทิพยประกันภัย 20% ไทยศรีประกันภัย 15% กลุ่มพรมพิบาล 5% และไทย-บรูไนฟันด์อีก 15%
ขณะที่กลยุทธ์ในการทำตลาดบริษัทยังคงเน้นช่องทางการขายทั้ง 2 ช่องทางโดยปัจจุบันมีสัดส่วนการขายผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ 60% และตัวแทนจำหน่าย 40% ส่วนสินค้าที่จะออกขายหลังจากนี้บริษัทจะเน้นกรมธรรม์ประเภทออมทรัพย์อายุ 3 ปี รวมถึงกรมธรรม์บำนาญเพื่อหวังตอบสนองลูกค้าที่ต้องการผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นหลังมีการประกาศใช้พรบ.คุ้มครองเงินฝาก
"เราจะเดินหน้าทั้ง 2 ส่วน และจะพยายามทำให้บริษัทเป็นวันสตอปเซอร์วิสที่มีสินค้าครบในจุดเดียวทั้ง 2 ประเภทคือประกันชีวิตและประกันภัย ซึ่งในส่วนของตัวแทนเราจะมีการส่งเสริมให้ขายกรมธรรม์ได้ทั้ง 2 ประเภท นอกจากนี้หากตัวแทนของทิพยประกันภัยมีความสนใจจะขายประกันชีวิตเราก็จะสนับสนุนด้วยเช่นกัน"
นายศรัณย์ ลิมป์หิรัญรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัททิพยประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของบริษัทสามารถทำเบี้ยรับรวมได้เพียง 200 ล้านบาท เนื่องจากเป็นไปตามธรรมชาติของธุรกิจประกันชีวิตในช่วงนี้ที่ยังไม่คึกคักมากนัก แต่เชื่อว่าน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี และทำให้เบี้ยรับรวมเป็นไปตามเป้าครึ่งปีทีวางไว้ 1,500 ล้านบาทได้
ส่วนทั้งปีบริษัทยังมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างเบี้ยรับรวมได้ถึง 3,000 ล้านบาท โดยจะแบ่งออเป็นรายได้จาก 3 กลุ่มด้วยกัน คือ 1.กลุ่มเบี้ยประกันสามัญทั่วไป 10% หรือ 300 ล้านบา 2.กลุ่มเบี้ยประกันกลุ่ม 35% หรือ 1,050 ล้าบาท และสุดท้ายกลุ่มที่ 3.เบี้ยประกันชีวิตคุ้มครอง สินเชื่อ 55% หรือ1,650 ล้านบาท
"ช่วงไตรมาสแรกทุกบริษัทเงียบหมด ส่วนของเราเชื่อว่าจะทำได้ดีต่อจากนี้ โดยเฉพาะในส่วนของการคุ้มครองสินเชื่อกับธนาคาร ซึ่งเรามีพันธมิตรเป็นแบงก์รัฐหลายแห่งรวมถึงธนาคารออมสิน ซึ่งจะทำให้เบี้ยในส่วนนี้เข้ามามากที่สุด"
นายศรัณย์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการเพิ่มทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัทขณะนี้ บริษัทเตรียมที่จะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 891 ล้านบาท จากเดิมที่มีอยู่แล้วประมาณ 400 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จในเดือนหน้า ส่วนใน 2 ปีข้างหน้าบริษัทตั้งเป้าการเพิ่มทุนจดเบียนเป็น 3,420 ล้านบาท โดยในปี 2556 จะมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 900 ล้านบาทและมีเบี้ยรับรวม 5,000 ล้านบาท ปี 2557จะมีทุนจดทะเบียนเป็น 3,420 ล้านบาท เบี้ยรับรวม5,750 ล้านบาท และในปี 2558 บริษัทน่าจะสามารถทำเบี้ยรับรวมได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาท
ส่วนโครงสร้างผู้ถือหุ้นในเดือนหน้าที่จะมีการเพิ่มทุนนั้นจะแบ่งเป็น ธนาคารออมสิน 21% ทิพยประกันภัย 20% ไทยศรีประกันภัย 15% กลุ่มพรมพิบาล 5% และไทย-บรูไนฟันด์อีก 15%
ขณะที่กลยุทธ์ในการทำตลาดบริษัทยังคงเน้นช่องทางการขายทั้ง 2 ช่องทางโดยปัจจุบันมีสัดส่วนการขายผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ 60% และตัวแทนจำหน่าย 40% ส่วนสินค้าที่จะออกขายหลังจากนี้บริษัทจะเน้นกรมธรรม์ประเภทออมทรัพย์อายุ 3 ปี รวมถึงกรมธรรม์บำนาญเพื่อหวังตอบสนองลูกค้าที่ต้องการผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นหลังมีการประกาศใช้พรบ.คุ้มครองเงินฝาก
"เราจะเดินหน้าทั้ง 2 ส่วน และจะพยายามทำให้บริษัทเป็นวันสตอปเซอร์วิสที่มีสินค้าครบในจุดเดียวทั้ง 2 ประเภทคือประกันชีวิตและประกันภัย ซึ่งในส่วนของตัวแทนเราจะมีการส่งเสริมให้ขายกรมธรรม์ได้ทั้ง 2 ประเภท นอกจากนี้หากตัวแทนของทิพยประกันภัยมีความสนใจจะขายประกันชีวิตเราก็จะสนับสนุนด้วยเช่นกัน"
