โดย วรวรรณ ธาราภูมิ
และทีมจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง
• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้น 1.3% จากเดือน มิ.ย.ที่หดตัวลง 0.4% โดยได้ปัจจัยหนุนจากผลผลิตสินค้าทุนมีความแข็งแกร่งมากขึ้น สวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ชี้ให้เห็นว่าระบบเศรษฐกิจของเยอรมนียังสามารถต้านทานวิกฤตหนี้สาธารณะในภูมิภาคได้
• ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสเปนเดือน ก.ค. ลดลง 2.6% ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 บ่งบอกถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ ทำให้สเปนอาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือด้านการเงินจากนานาชาติ
• นายกรัฐมนตรีโปรตุเกสประกาศมาตรการรัดเข็มขัดล่าสุด ประกอบด้วยการเพิ่มสัดส่วนเงินประกันสังคมจาก 11% เป็น 18% ของเงินเดือน และลดเงินสวัสดิการของบริษัทจาก 23.75% เหลือ 18% เพื่อกระตุ้นให้บริษัทจ้างงานมากขึ้นและช่วยประเทศบรรเทาวิกฤตหนี้
• ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของอังกฤษในเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จึงทำให้ต้นทุนของผู้ผลิตสูงขึ้นตาม หากกลุ่มผู้ค้าปลีกผลักภาระต้นทุนไปให้ผู้บริโภคอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
• ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 96,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 125,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 8.1% โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ กำลังจับตาสถานการณ์ในตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นปัจจัยประกอบการตัดสินใจว่าจะมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่หรือไม่ ดังนั้น มูดี้ส์จึงคาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะประกาศใช้มาตรการ QE3
• ประธานาธิบดี หู จิ่นเทา ของจีน ประกาศสนันสนุนโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รวมถึงยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ที่เศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในขาลง และไร้เสถียรภาพ
• ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนในเดือน ส.ค.เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับระดับ 1.8% ในเดือน ก.ค. ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ลดลง 3.5% เมื่อเทียบกับระดับ 2.9% ในเดือน ก.ค. โดยลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 แล้ว
• ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของญี่ปุ่นประจำเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 0.04% สู่ระดับ 1.27324 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแข็งค่าของยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นและมีการขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ซึ่งสินทรัพย์ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของพันธบัตรรัฐบาล โดยทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของญี่ปุ่นมีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน
• ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในไตรมาส 2 ขยายตัวเพียง 0.3% จากไตรมาสแรก ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของธนาคารกลาง โดยเป็นผลมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่ำแทบทุกประเภท รวมถึงการส่งออกและนำเข้าชะลอตัวจากวิกฤตยูโรโซน จึงมีโอกาสที่ธนาคารกลางจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงในสัปดาห์หน้า
• ยอดการผลิตรถยนต์ของเกาหลีใต้เดือน ส.ค. ลดลง 25.9% จากเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุจากการขาดแคลนอุปทาน เนื่องมาจากการผละงานประท้วงของค่ายรถยนต์ใหญ่ โดยคนงานของฮุนไดและเกียร์ผละงานประท้วงประมาณ 10 ครั้งในเดือนที่แล้ว รวงถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอจากยุโรปซึ่งยังคงเผชิญวิกฤตการคลัง
• ผลผลิตฝ้ายของอินเดียในปี 2555-2556 มีแนวโน้มลดลง7% เนื่องจากปริมาณฝนในภูมิภาคการผลิตที่สำคัญลดลงต่ำกว่าปกติ ได้แก่ รัฐคุชราตและรัฐมหาราษฎร์ รวมถึงมีเกษตรกรบางส่วนได้เปลี่ยนไปปลูกพืชผลชนิดอื่น โดยปี 2554-2555 ผลผลิตฝ้ายของประเทศอยู่ที่ 34.7 ล้านมัด (มัดละ 170 กก.)
• พม่าได้ผ่านกฎหมายการลงทุนจากต่างชาติฉบับใหม่ โดยเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติถือหุ้น 50% ในกิจการร่วมทุนกับหุ้นส่วนท้องถิ่นเพื่อให้เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะเงินทุนและเทคโนโลยีต่างชาติมีความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างงาน เนื่องจากพม่าอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงชาวพม่ายังต้องการโอกาสทำงาน
• รมว.คมนาคมพอใจผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปี โดยการทำงานถือว่าประสบความสำเร็จใน 4 ด้านหลัก คือ 1. ฟื้นฟูบูรณะโครงสร้างพื้นฐานและช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาน้ำท่วมปี 2554 2. ดูแลปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน 3. แก้ไขเพื่อพัฒนาลอจิสติกส์การขนส่ง และ 4. มุ่งไกลสู่อาเซียนเพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายในภูมิภาค
• ผลการประชุม FTA ระหว่างไทยกับชิลีได้ข้อสรุปว่า ข้าวไทยจะได้รับการทยอยยกเลิกภาษีจากชิลีภายใน 5 ปี ส่วนสินค้าอื่นๆ จะมีอัตราภาษีนำเข้าที่ 0% ได้แก่ รถปิกอัพ สินค้าและผลิตภัณฑ์ยาง สินค้าในหมวดปูนซีเมนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน
Equity Market
• SET Index ปิดที่ 1,246.10 จุด เพิ่มขึ้น 2.18 จุด หรือ +0.18% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 34,654.58 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 272.98 ล้านบาท ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดวัน รับข่าวที่ ECB จะเข้าซื้อพันธบัตรไม่จำกัดปริมาณ แต่ยังคงมีความกังวลผลการประชุม FOMC ในวันที่ 12-13 ก.ย. ว่าจะมีการออก QE3 หรือไม่
• ตลท.เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน 116 แห่งและตลาดหลักทรัพย์ MAI ประกาศจ่ายปันผลงวดครึ่งปีแรกรวม 118,703 ล้านบาท จากระดับ 117,126 ล้านบาทในปี 2554 เป็นการสร้างสถิติปันผลเกินแสนล้านบาทเป็นปีที่สองและสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ธนาคาร การแพทย์ พาณิชย์ อาหารและเครื่องดื่ม ทำสถิติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสูงสุด
Fixed Income Market
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น -0.01% ถึง +0.10% มูลค่าการซื้อขาย 56,097 ล้านบาท และมีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,063 ล้านบาท