บลจ.แอสเซท พลัส มองกรอบหุ้นไทยในปีนี้อยู่ที่ 1,150–1,250 จุดพร้อมแนะจับตาปัญหาเศรษฐกิโลกชะลอตัว ล่าสุดเตรียมปันผลกองทุน “แอสเซทพลัสไพร์ม” (ASP-PRIME) จำนวน 0.50 บาท
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าว่า จากกลยุทธ์การคัดเลือกหลักทรัพย์ของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม (ASP-PRIME) ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตภายในประเทศ แม้ว่าปัจจุบันกองทุนจะลงทุนในหุ้นประมาณ 60% ของพอร์ตการลงทุน และเงินลงทุนส่วนที่เหลืออีก 40% ผู้จัดการกองทุนจะรอจังหวะการลงทุน แต่กลุ่มหลักทรัพย์ที่กองทุนลงทุน ซึ่งได้แก่ หุ้นกลุ่มสื่อสารและเทคโนโลยี, กลุ่มปิโตรเคมี และธนาคารพาณิชย์ มีผลการดำเนินงานโดดเด่น Outperform ตลาดในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับมีกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุน ASP-PRIME ปรับตัวขึ้นผ่านระดับ 10.50 บาท หลังจากจดทะเบียนจัดตั้งเป็นกองทุนรวมได้เพียง 3 เดือน ทำให้กองทุนสามารถรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งที่ 1 เป็นเงินหน่วยละ 0.50 บาท ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนในวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา
นางลดาวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้จากความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจในยุโรป และจีน ในขณะที่ยังคงมีความเสี่ยงจากการขายทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุน โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะมีการเคลื่อนไหวในกรอบ 1,150-1,250 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก, มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในประเทศ โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าด้วยกลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นรายตัว (Stock selection) ที่มีแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ในระยะเวลาที่เหลือ 15 เดือน กองทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 20%
ทั้งนี้ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม (ASP-PRIME) เป็นกองทุนผสมที่มีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนตราสารหนี้และตราสารทุน โดยใช้กลยุทธ์การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีโอกาสการทำกำไรในระดับสูง โดยเน้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ โดยกองทุน ASP-PRIME มีเป้าหมายมุ่งสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 20% ในระยะเวลาการลงทุน 18 เดือน โดยกำหนดเป้าหมายการทยอยทำกำไรด้วยวิธีการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนปรับผ่านจุดที่กำหนด 10.50 บาท, 11.00 บาท, 11.50 บาท และปิดกองทุนเมื่อแตะระดับ 12.00 บาท หรือเมื่อครบอายุกองทุน 18 เดือน แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดก่อน