บลจ.แอสเซท พลัส ออกกองทุนผสม ชูผลตอบแทน 7% ใน 1 ปี ชี้ ศก.โลกยังรับผลกระทบจากยุโรป คาดดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 1,250 จุด แนะจังหวะเข้าลงทุน เมื่อมีแรงขายทำกำไรใกล้ระดับ 1,200 จุด
นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซท พลัส เปิดเผยว่า ปัญหาหนี้ยุโรปยังไม่คลี่คลาย ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปหดตัวมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ รวมทั้งเอเชียที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีน ทำให้ที่ผ่านมารัฐบาลในประเทศต่างๆ ทั่วโลกใช้มาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงไทยอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3% ตลอดปีนี้
ทั้งนี้บริษัทจึงออกกองทุนเปิดอิควิตี้ลิงค์คอมเพล็กซ์รีเทิร์นคุ้มครองเงินต้น (ASP-EQLCR) เสนอขายครั้งเดียวระหว่างวันที่ 12-17 ก.ค.นี้ ซึ่งเป็นกองทุนผสมเน้นลงทุนในตราสารภาครัฐไทยประมาณ 97% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนและอีก 3% จะลงทุนในสัญญาออปชั่นที่มีการจ่ายผลตอบแทนอ้างอิงกับการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น 3 บริษัท ได้แก่บริษัทซีพีออลล์ (CPALL) บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) และบริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC)
โดยกองทุนมีอายุ 1 ปี โดยคาดว่าจะเริ่มต้นในวันที่ 18 ก.ค.นี้และหากราคาปิดสิ้นวันหรือวันที่ 18 ก.ค.2556 ของหุ้นอ้างอิง 3 ตัว มากกว่าหรือเท่ากับวันเริ่มต้นลงทุน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทน 7% แต่หากราคาลงต่ำกว่าวันเริ่มต้นลงทุน ผู้ลงทุนจะได้เฉพาะเงินต้นคืน
“การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล 1 ปี จะได้ผลตอบแทนประมาณ 3% ต่อปี ก็จะทำให้ผู้ลงทุนไม่เสียเงินต้น และยังมีโอกาสลุ้นผลตอบแทน 7% หากราคาหุ้นที่อ้างอิง 3 ตัวไม่ปรับลดลงตามเงื่อนไข”นางลดาวรรณ กล่าว
นางลดวารรณ กล่าวว่า เหตุผลที่เลือกหุ้น 3 ตัวนี้ เนื่องจาก CPALL เป็นผู้นำธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-ELEVEN มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 55% มีผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงถึง 45% ซึ่งสูงสุดในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน ขณะที่ธุรกิจยังมีแนวโน้มเติบโตจากการใช้จ่ายของภาคการบริโภคในประเทศและความสามารถในการทำกำไรของบริษัท คาดว่ากำไรสุทธืในปีนี้จะเติบโต 34% และ 19% ในปี 2556 โดยราคาเป้าหมายของหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานใน 1 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 36.64 บาท
ส่วนหุ้น CPF เป็นผู้นำธุรกิจเกษตรและอุตสาหกรรมและอาหารทั้งในและต่างประเทศ ปัจจุบันมีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรสุทธิ (พี/อี) 10.84 เท่า ซึ่งต่ำกว่าพี/อีเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 17 เท่า และคาดว่าราคาตามปัจจัยพื้นฐานของหุ้นจะอยู่ที่ 45 บาทในปีนี้ ซึ่งยังเติบโตได้มากจากการซื้อกิจการและอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปที่มีอัตรากำไรสูง ขณะที่ PTTGC ทำธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ คาดว่าหากจีนกลับมาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลงทุนในประเทศอีกครั้ง จะผลักดันให้ความต้องการปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลบวกต่อแนวโน้มราคาและส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ให้ปรับตัวขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า โดยขณะนี้ราคาหุ้นมีพี/อี 7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่สูงถึง 12 เท่า ส่วนราคาเป้าหมายสิ้นปีอยู่ที่ 75.660 บาท พี/อี 8 เท่า ซึ่งยังมีโอกาสขึ้นได้มากในช่วง 1 ปีข้างหน้า
ด้านนายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล นักวิเคราะห์กลยุทธ์ บลจ.แอสเซท พลัส กล่าวว่า บริษัทคาดการณ์ดัชนีปีนี้อยู่ที่ 1,250 จุด พี/อี 12-13 เท่า ซึ่งช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมาแถว 1,200 จุดจึงมีแรงขายทำกำไรออกมา และน่าจะเป็นจังหวะดีในการเข้าลงทุน ซึ่งหุ้น 3 ตัวมีศักยภาพที่ดีและมีโอกาสชนะตลาดได้ และโอกาสที่หุ้น 3 ตัวจะปรับตัวลงมามีค่อนข้างน้อย เพราะแต่ละตัวมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและเป็นผู้นำในธุรกิจ ส่วน PTTGC มองว่าธุรกิจปิโตรเคมีเข้าสู่ช่วงขาขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้าและไตรมาส 3 นี้น่าจะอยู่ในช่วงต่ำสุดของธุรกิจแล้วหลังจากความต้องการของจีนลดลง เพราะหันมาปฏิรูปประเทศก่อนเร่งลงทุนในสาธารณูปโภคอีกครั้ง”นายพงศ์พันธุ์ กล่าว
สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศอาจมีผลด้านจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานของแต่ละหุ้นเปลี่ยนแปลงและเหตุการณ์รุนแรงที่ผ่านมาหุ้นในตลาดก็ยังผ่านมาได้