xs
xsm
sm
md
lg

Good Morning News by บลจ.บัวหลวง วันที่ 17 กรกฎาคม 2555

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดย วรวรรณ ธาราภูมิ
และทีมจัดการกองทุน บลจ.บัวหลวง

• เงินเฟ้อในยูโรโซนโดยรวมยังคงทรงตัวอยู่ที่ 2.4% ในเดือน มิ.ย. เมื่อเทียบเป็นรายปี และอยู่ที่ -0.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนเงินเฟ้อรายปีของกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งมีสมาชิก 27 ประเทศนั้นอยู่ที่ 2.6% เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.5% ในเดือน พ.ค. และเงินเฟ้อรายเดือนอยู่ที่ 0.0% โดยประเทศสมาชิกที่มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำในเดือน มิ.ย. ได้แก่ สวีเดน 0.9% กรีซ 1.0% และบัลแกเรีย 1.6% ส่วนประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูงสุดได้แก่ ฮังการี 5.6% เอสโตนีย และมอลตา 4.4%

• ศาลเยอรมนีจะประกาศคำวินิจฉัยเกี่ยวกับกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) และสนธิสัญญาทางการคลังของยุโรปในวันที่ 12 ก.ย.นี้ หลังจากมีโจทก์ยื่นคัดค้านการให้สัตยาบันของรัฐสภาเยอรมนีต่อกองทุน ESM และสนธิสัญญาทางการคลังของยุโรป ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญ 2 ประการของยูโรโซนสำหรับการจัดการกับวิกฤตหนี้สาธารณะ

• Moody’s ชี้ว่า การที่ศาลเยอรมนีจะใช้เวลาหลายเดือนเพื่อพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) จะเป็นอุปสรรคต่อการที่เยอรมนีจะมีส่วนร่วมใน ESM และเป็นปัจจัยลบสำหรับประเทศสมาชิกยูโรโซนทั้งหมด โดย ESM จะดำเนินการไม่ได้เลยหากเยอรมนีไม่ร่วมด้วย

นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเงื่อนไขการปล่อยเงินกู้ของ ESM แก่ธนาคารของสเปนก็เป็นความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดการเงินยุโรปมีความผันผวนต่อไป และความล่าช้าต่อเนื่องจะยิ่งทำให้ตลาดเงินยุโรปผันผวนมากยิ่งขึ้น ทั้งยังจะบั่นทอนความน่าเชื่อถือในศักยภาพของผู้กำหนดนโยบายยูโรโซนที่จะคลี่คลายวิกฤตหนี้และภาคธนาคาร

• สมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติ (NABE) ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลสำรวจที่ระบุว่าวิกฤตหนี้ยุโรปกำลังส่งผลกระทบมากขึ้นต่อสหรัฐฯ และแสดงถึงมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 47% ระบุว่ายอดขายลดลงอันเนื่องมาจากวิกฤตหนี้ยุโรป และกว่าครึ่งหนึ่งคาดว่าวิกฤตดังกล่าวจะฉุดยอดขายให้ตกต่ำลงต่อไปในช่วง 6 เดือนหน้า โดยบริษัทกำลังปรับลดแผนการที่จะว่าจ้างพนักงาน และบริษัทจำนวนมากขึ้นเชื่อว่าวิกฤตหนี้ยุโรปกำลังส่งผลกระทบต่อยอดขาย

• เฉิน ตงฉี รองหัวหน้าสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของจีน เปิดเผยต่อรอยเตอร์ว่า จีนต้องกำหนดนโยบายเศรษฐกิจเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดที่อาจลุกลามจากกลุ่มผู้ผลิตมายังผู้บริโภค โดยเศรษฐกิจจีนอาจเป็นขาลงยืดเยื้อเกินจากไตรมาส 3 ของปีนี้ถ้ารัฐบาลไม่ใช้มาตรการด้านนโยบายที่แข็งแกร่ง

• นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ของจีน กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังรัฐบาลจีนจะเพิ่มความพยายามเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของนโยบายและการคาดการณ์ในอนาคต ซึ่งเป็นการเตือนว่ายังไม่มีการรับประกันว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว โดยแผนดังกล่าวจะรวมถึงการสร้างเสถียรภาพให้แก่การลงทุนด้วยการดำเนินแผนการพัฒนาระยะกลางถึงระยะยาว ส่งเสริมความเป็นเมืองในชนบท และการปรับปรุงเกษตรกรรมให้ทันสมัย ปรับปรุงรายได้ ยกระดับอุตสาหกรรม พัฒนาตลาดเกิดใหม่ และส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน

• ธนาคารกลางอินโดนีเซียลดเป้าการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ลงสู่ 6.1-6.5% จากเดิม 6.3-6.7% และลดลงสู่ 6.3-6.7% สำหรับปีหน้าจากเดิม 6.4-6.8% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกซบเซาอย่างต่อเนื่อง และอาจถึงจุดซบเซาสูงสุดในปีหน้าอันจะมีผลกระทบต่อการส่งออก

• Moody’s ระบุว่า แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือที่ Baa3 ของอินโดนีเซียยังคงมีเสถียรภาพ สะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง หนี้สินของรัฐบาลที่อยู่ในระดับต่ำ และการบริหารทางการคลังที่รอบคอบในช่วงที่ผ่านมา

• รอยเตอร์รายงานว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังเตรียมฟ้องร้องคดีอาญาต่อสถาบันการเงินหลายแห่งและพนักงานซึ่งเกี่ยวข้องกับการปั่นอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร ณ ตลาดลอนดอน (Libor) โดยเทรดเดอร์ของบาร์เคลย์สอยู่ในกลุ่มบุคคลที่จะถูกดำเนินคดี และคาดว่าจะยื่นฟ้องธนาคารแห่งหนึ่งเป็นอย่างต่ำในปีนี้

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Libor ถูกใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งได้แก่สินเชื่อจำนอง บัตรเครดิต และเงินกู้นักศึกษา โดยนิวยอร์กไทม์สระบุว่า เมือง รัฐ และมลรัฐในสหรัฐฯ กำลังพยายามตรวจสอบว่าพวกเขาขาดทุนเนื่องจากการปั่นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ และบางแห่งได้ยื่นฟ้องดำเนินคดีต่อสถาบันการเงินหลายแห่งแล้ว ซึ่งรวมถึงบริษัทในยุโรป 2 แห่งเป็นอย่างต่ำ และอาจจะทำให้ทางการเข้าดำเนินการครั้งประวัติศาสตร์เพื่อธนาคารขนาดใหญ่ต้องรับผิดชอบการกระทำผิดทางอาญาในช่วงวิกฤตการเงิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดโลกตั้งแต่ปลายปี 2007

อย่างไรก็ดี การสอบสวนมักจะมีความยุ่งยากซับซ้อน อาจใช้เวลานานหลายปี และอาจจะจบลงด้วยการยุติคดี แทนที่จะมีการฟ้องร้อง

Equity Market

• SET Index ปิดที่ระดับ 1,214.25 จุด เพิ่มขึ้น 3.96 จุด หรือ 0.33% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25,017 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 122 ล้านบาท โดยลดช่วงบวกลงจากภาคเช้า หลังภาคบ่ายมีแรงขายหุ้นในกลุ่มอาหาร และพลังงาน ขณะที่มีแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ เทคโนโลยี และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หลังนักลงทุนเก็งกำไรหุ้นกลุ่มแบงก์ จากคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2/55 ที่จะออกมาดีเป็นปัจจัยหนุนหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น อย่างไรก็ตาม ตลาดขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,220 จุด แต่ไม่ผ่าน ทำให้ภาคบ่ายลดช่วงบวกลง

Fixed Income Market

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลงเกือบทุกช่วงอายุ ยกเว้นระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี โดยเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่าง -0.01% ถึง -0.06% โดยเฉพาะรุ่นอายุ 13-19 ปีมีอัตราผลตอบแทนปรับลดลงมากกว่ารุ่นอื่นๆ สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตร ธปท. รุ่นอายุ 1, 3 และ 6 เดือน วงเงินรวม 66,000 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น