หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จี้ประธานรัฐสภาแจงคลิปเสียงใช่ของจริงหรือไม่ ยันนัยชัด “แม้ว” เบื้องหลังรัฐแก้กฎหมายเพื่อประโยชน์ อย่านิ่งเงียบ แนะอธิบายขัดการทำหน้าที่เป็นกลางหรือไม่ อ้างตรงที่เคยพูดเป๊ะนายกฯ ถูกจำกัดบทบาททำลายความรับผิดชอบ แต่เชื่อไม่สามารถลอยตัวเหนือปัญหาได้ วอนรัฐเอาประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง - พร้อมเตือนทบทวนนโยบายรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ
วันนี้ (6 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ออกมาชี้แจงด้วยตัวเอง หลังจากมีคลิปเสียงพูดกับคนใกล้ชิดระบุถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมตัดสินใจเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง โดยเห็นว่านายสมศักดิ์ควรจะได้ชี้แจงว่าสิ่งที่พูดไปเป็นเพราะอะไร เป็นเสียงของนายสมศักดิ์หรือไม่ เพราะสิ่งที่อยู่ในคำพูดมีนัยสำคัญหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของ พ.ต.ทักษิณ ที่ยังเข้ามาแทรกแซงก้าวก่ายอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการชี้ให้เห็นหลายเรื่องที่รัฐบาลขับเคลื่อนทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองทั้ง 4 ฉบับ ซึ่งสุดท้ายก็วนเวียนอยู่กับประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และมีคำถามเกี่ยวกับบทบาทของนายสมศักดิ์ที่จะต้องดำรงความเป็นกลาง
“เมื่อดูจากถ้อยคำที่พูดแล้วเป็นเรื่องกึ่งการเมืองด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้นายสมศักดิ์ต้องอธิบายก่อนว่าที่พูดแบบนั้นความมุ่งหมายคืออะไร และคิดว่าการทำอย่างนั้นกับการดำรงความเป็นกลางไปด้วยกันได้หรือเปล่า ซึ่งนายสมศักดิ์จะใช้วิธีนิ่งเงียบแล้วปล่อยให้เรื่องเงียบไปคงไม่ได้เพราะจะถูกสอบถามจากสังคมตลอดเวลา” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 125 วรรค 2 บัญญัติให้ประธานรัฐสภาต้องทำหน้าที่เป็นกลาง ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนายสมศักดิ์ที่ต้องอธิบายว่าสิ่งที่พูดไปขัดต่อหลักความเป็นกลางนี้หรือไม่ นอกจากนี้ รายละเอียดส่วนหนึ่งในคลิปก็ระบุชัดว่ามีการวางกลยุทธ์ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อยู่เหนือปัญหาการเมืองโดยอ้างว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของสภา
“ตรงตามที่ผมเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วว่า นายกฯ ถูกจำกัดบทบาทซึ่งอาจคิดว่าเป็นประโยชน์ในทางการเมือง แต่เป็นการทำลายหลักความรับผิดชอบอย่างรุนแรง เพราะกลายเป็นว่าเรื่องใหญ่ ก็จะให้นายกฯ ลอยตัวไป แต่เชื่อว่าสุดท้ายก็ไม่สามารถทำให้ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาได้ เพราะอะไรที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ ผู้บริหารสูงสุดในฝ่ายบริหารก็ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นการกระทำของรัฐบาลหรือแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยเอง” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า การที่นายสมศักดิ์ ระบุในคลิปว่า หลังจากนี้อีก 6 เดือนจะใช้สื่อของรัฐโน้มน้าวประชาชนให้เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ปรองดองและนำกลับเข้ามาพิจารณาในสภาใหม่นั้น แสดงให้เห็นว่ากระบวนการที่จะเดินหน้าเพื่อล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่หยุด เพียงแต่จะใช้วิธีการ รูปแบบ หรือจังหวะเวลาไหนเท่านั้นเอง จึงเป็นเหตุผลว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังต้องให้ความจริงกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากวิธีคิดของรัฐบาลยังเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้บรรยากาศการเมืองไม่นิ่ง รัฐบาลจึงควรหยุดทำในเรื่องที่เป็นปัญหาก่อนและหารือทุกฝ่ายอย่างเปิดใจกว้าง ไม่ใช่ยึดธงหรือผลประโยชน์ของฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่แล้วเพียงแต่หาวิธีการมารองรับเท่านั้น แต่ต้องเอาประโยชน์ประชาชนเป็นตัวตั้ง
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังแสดงความกังวลกรณีที่รัฐบาลยังไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เช่น โครงการรับจำนำ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล โดยอยากเตือนรัฐบาลให้ทบทวนนโยบายหลายเรื่อง เพราะการจะรับมือวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลมักจะมองข้ามผลกระทบจากนโยบายของตัวเองโดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่สร้างภาระด้านงบประมาณอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องโครงการจำนำ ที่ทำให้ไทยสูญเสียศักยภาพในการส่งออกข้าวด้วย รวมถึงการที่รัฐบาลขาดมาตรการรองรับนโยบายขึ้นค่าแรง 300 แต่กลับมีแนวคิดที่จะไปกู้เงิน 1.6 ล้านล้านบาทในภาวะเช่นนี้ซึ่งไม่มีความเหมาะสม จึงอยากให้รัฐบาลเชื่อมโยงประเด็นในภาพรวมอย่ามองแบบแยกส่วน เพราะจะทำให้ไม่สามารถรับมือกับวิกฤตหนี้ยุโรปได้ เนื่องจากไม่มีประโยชน์ที่จะบอกว่าจะรับมือวิกฤตหนี้ยุโรปจะต้องมีวินัยการเงินการคลัง แต่สุดท้ายรัฐบาลกลับดำเนินการจนทำให้ประเทศมีความเสี่ยงมากขึ้น จึงต้องเชื่อมโยงปัญหาให้เห็นในภาพรวม โดยหารือร่วมกับภาคเอกชนเป็นรายสาขา เพื่อดูปัญหาผลกระทบอย่างละเอียด
“สิ่งที่รัฐบาลพูดในเชิงหลักการคงไม่ผิด เช่น เสถียรภาพเศรษฐกิจ แต่คำถามคือมีการเอาตัวนโยบายไปรองรับหรือยัง ซึ่งหมายถึงว่าต้องทบทวนนโยบายหลายเรื่องที่รัฐบาลทำไว้ด้วย การอ้างว่าจะหาตลาดอื่นมารองรับตลาดในยุโรปนั้น รัฐบาลต้องมองด้วยว่าตลาดอื่นก้ได้รับผลกระทบจากวิกฤตหนี้ยุโรปด้วยเช่นเดียวกัน จึงไม่ควรประมาทเพราะปัญหาไม่ได้จำกัดอยู่ที่ยุโรปอย่างเดียว เพราะประเทศที่ได้รับผลกระทบก็จะมีกำลังซื้อลดลงไปด้วย จึงอยากให้รัฐบาลทำงานให้ละเอียดและแยกเป็นรายสาขาเพื่อจะได้ดูปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งนายกรัฐมนตรีต้องติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง เพื่อติดตามความคืบหน้าและภาพรวมของปัญหา แม้ว่าจะมอบให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง ดูแลแล้วก็ตาม” นายอภิสิทธิ์กล่าว