บลจ.เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ ชูผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก บลจ.กรุงศรีเปิดขายกองตราสารหนี้ 6M24 ชูผลตอบแทน 3.15% ต่อปี ขณะที่อเบอร์ดีนเปิดขาย อเบอร์ดีน อินคัม ครีเอเชั่น ตั้งแต่วันที่ 18-25 มิถุนายนนี้
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเปิดเสนอขายกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M24 (KFFIX6M24) อายุโครงการประมาณ 6 เดือน เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ตราสารหนี้ภาครัฐไทย สัดส่วนการลงทุน 20% ตั๋วแลกเงินออกโดย บ. อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จก. (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 20% ตั๋วแลกเงินออกโดยธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) สัดส่วนการลงทุน 20% เงินฝากธนาคาร Union National Bank (สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) สัดส่วนการลงทุน 20% และตราสารหนี้ EMTN ออกโดยธนาคาร Banco Bradesco SA. สัดส่วนการลงทุน 20% โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการขายคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติประมาณ 3.15% ต่อปี และหลังครบกำหนดอายุโครงการบริษัทจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติและสับเปลี่ยนหน่วยลงทุนไปยังกองทุนเปิดกรุงศรีตราสารเงิน (KFCASH) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนต่อไป
“กองทุนเปิดกรุงศรีตราสารหนี้ 6M24 (KFFIX6M24) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ เหมาะต่อนักลงทุนที่มองหาการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก รวมทั้งต้องการล็อกผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้และสามารถลงทุนได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน” นายฉัตรพีกล่าว
ด้านนายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ บลจ.อเบอร์ดีน จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้เปิดขายกองทุนตราสารหนี้ อเบอร์ดีน อินคัมครีเอเชั่น ตั้งแต่วันที่ 18-25 มิถุนายนนี้ โดยกล่าวถึงภาวะตลาดตราสารหนี้เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนว่า ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังอ่อนตัว บวกกับความตึงเครียดในภาคธนาคารของสเปนมีมากขึ้น ทำให้นักลงทุนทั่วโลกมีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน ส่งผลให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับสู่ระดับต่ำสุด โดยอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.46%
ขณะที่ตลาดพันธบัตรไทยเองได้รับอานิสงส์จากความกังวลของนักลงทุนเช่นกัน อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะคงระดับต่ำเช่นนี้ต่อไปจนกว่าสถานการณ์ของกลุ่มประเทศในยุโรปจะคลี่คลาย