ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาด กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 3% ในการประชุมวันที่ 2 พฤษภาคมนี้ จับตาเงินเฟ้อมีโอกาสพุ่ง กดดันนโยบายดอกเบี้ยเปลี่ยน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.00% ในการประชุมรอบที่สามของปีในวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 นี้เพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจยังคงมีน้ำหนักอยู่จากความเปราะบางของเศรษฐกิจหลักในโลก ขณะที่แรงกดดันต่อการใช้จ่ายในประเทศจากภาวะค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตสะสมที่ปรับตัวขึ้น
ทั้งนี้ ในระยะต่อไปคาดว่า กนง.คงจะติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะความรวดเร็วและต่อเนื่องของการฟื้นตัวจากปัญหาอุทกภัย ผลกระทบรอบสอง (Second-round effects) หรือกลไกการส่งผ่านของระดับราคาสินค้าจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันและค่าจ้างแรงงาน เพื่อประเมินน้ำหนักความเสี่ยงหลักก่อนที่จะตัดสินใจนโยบายการเงินที่เหมาะสมในอนาคต ซึ่งคงต้องยอมรับว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง อาจจะสร้างความท้าทายมากขึ้นต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ กนง.ในระยะถัดไป เพราะมีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจเร่งตัวเข้าสู่ 3.0% ซึ่งเป็นกรอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 0.5-3.0%
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามคงจะได้แก่ การครบกำหนดวาระของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะหมดวาระในเดือนเมษายนนี้ ตลอดจนแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติม (QE3) รวมไปถึงมุมมองต่อมาตรการการซื้อตราสารเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวภายใต้โครงการ The Maturity Extension Program (Operation Twists) ที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2555 อันเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และส่งผลไปยังตลาดพันธบัตรทั่วโลก ซึ่งอาจจะกระทบต่อต้นทุนการระดมทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย ผ่านการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในแต่ละประเทศ รวมไปถึงกระแสการเคลื่อนย้ายของเงินทุนทั่วโลก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทย (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 3.00% ในการประชุมรอบที่สามของปีในวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 นี้เพื่อดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เนื่องจากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจยังคงมีน้ำหนักอยู่จากความเปราะบางของเศรษฐกิจหลักในโลก ขณะที่แรงกดดันต่อการใช้จ่ายในประเทศจากภาวะค่าครองชีพและต้นทุนการผลิตสะสมที่ปรับตัวขึ้น
ทั้งนี้ ในระยะต่อไปคาดว่า กนง.คงจะติดตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะความรวดเร็วและต่อเนื่องของการฟื้นตัวจากปัญหาอุทกภัย ผลกระทบรอบสอง (Second-round effects) หรือกลไกการส่งผ่านของระดับราคาสินค้าจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันและค่าจ้างแรงงาน เพื่อประเมินน้ำหนักความเสี่ยงหลักก่อนที่จะตัดสินใจนโยบายการเงินที่เหมาะสมในอนาคต ซึ่งคงต้องยอมรับว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง อาจจะสร้างความท้าทายมากขึ้นต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ กนง.ในระยะถัดไป เพราะมีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอาจเร่งตัวเข้าสู่ 3.0% ซึ่งเป็นกรอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 0.5-3.0%
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามคงจะได้แก่ การครบกำหนดวาระของคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะหมดวาระในเดือนเมษายนนี้ ตลอดจนแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายผ่อนคลายเพิ่มเติม (QE3) รวมไปถึงมุมมองต่อมาตรการการซื้อตราสารเพื่อกดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวภายใต้โครงการ The Maturity Extension Program (Operation Twists) ที่จะสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2555 อันเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และส่งผลไปยังตลาดพันธบัตรทั่วโลก ซึ่งอาจจะกระทบต่อต้นทุนการระดมทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในเอเชีย รวมถึงไทย ผ่านการปรับตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในแต่ละประเทศ รวมไปถึงกระแสการเคลื่อนย้ายของเงินทุนทั่วโลก