บลจ. ธนชาต ส่งกองทุนอีทีเอฟทองคำแท่ง " TGOLDETF" เน้นลงทุนทองคำแท่ง 99.99% ในต่างประเทศซื้อขายของตลาดฮ่องกง ชูจุดเด่นจ่ายเงินค่าขายคืนให้ลูกค้าได้เร็วที่สุดคือวันรุ่งขึ้น (T+1) เปิดขายหน่วยลงทุนแล้วตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มี.ค.2555
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนอีทีเอฟในตลาดหลักทรัพย์บ้านเรามีอยู่ด้วยกัน 4 กองทุน ซึ่ง 2 กองทุนเป็นสไปเดอร์ และอีก 2 กองทุนเป็นการลงทุนในทองคำบ้านเรา ส่วนกองทุนกองที่ 5 ที่ธนชาตได้จัดตั้งขึ้นมานั้น เป็นกองทุนอีทีเอฟที่เข้าไปลงทุนทองคำแท่งต่างประเทศ 99.99% ในการซื้อขายของตลาดฮ่องกง ซึ่งถือว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ทำ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บลจ.ธนชาตมีกองทุนทองคำมากว่าปีเศษแล้ว กับกองทุน TGoldBullion ที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี การเติบโตมีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถจ่ายผลตอบแทนได้เร็วที่สุดในตลาด คือวันรุ่งขึ้น หรือ T+1
สำหรับ กองทุนเปิดธนชาตอีทีเอฟทองคำแท่ง หรือ TGOLDETF ได้จับมือกับ 13 พันธมิตร ได้แก่ บล. ธนชาต บล. โกลเบล็ก บล.คันทรี่กรุ๊ป บล. เคจีไอ บล. เคที บล. ซีมีโก้ บล. ดีบีเอส บล. วิคเคอร์ส บล. ทรินิตี้ บล. ไทยพาณิชย์ บล. บัวหลวง บล. ฟิลลิป บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด และธนาคารธนชาต เพื่อเป็นผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน พร้อมดูแลสภาพคล่อง และเป็นตัวแทนขายกองทุนดังกล่าว
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวเริ่มไอพีโอแล้ว วันนี้ ถึง 30 มีนาคม 2555 โดยกองทุนดังกล่าวเป็นการซื้อขายด้วยราคาตลาดระหว่างวัน ซึ่งไม่ต้องรอที่จะมาคำนวณราคาครั้งเดียวตอนสิ้นวันแบบกองทุนรวมทองคำแบบเดิม ทั้งนี้หลักการราคาจะอิงกับราคาทองคำในตลาด
" อย่างไรก็ตามในส่วน การเพิ่มช่องทางของตลาดอีทีเอฟ ให้กว้างมากยิ่งขึ้น โดยส่วนตัวแล้วมองว่าน่าจะมีการกระจายช่องทางไปทางธนาคารพาณิชย์มากขึ้น จากปัจจุบันที่ผู้ลงทุนสามารถลงทุนผ่านโบรกเกอร์ได้เท่านั้น เพราะถ้าเราสามารถกระจายการลงทุนออกไปได้จะทำให้มีการเติบโตเพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนอยู่จังหวัดลำปางและอยากที่จะลงทุน ถ้ามีช่องทางแบงก์เข้ามาเชื่อว่ามันจะสะดวกและขยายการเติบโตเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว "
ด้านนายตระกูลจิตร จิตตยไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ถ้ามองย้อนกลับไปช่วง 15 ปีที่ผ่านมาทองคำให้ผลตอบแทนเพิ่มกว่า 20% ราคาทองคำไม่มีตกมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น และในอีก 10 ปีข้างหน้ากำลังการซื้อขายทองคำจะยังคงมีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในจีน และอินเดีย เมื่อเทียบนำ 2 ประเทศนี้มารวมกันการซื้อขายมากกว่า 50% ของดีมานด์ทั่วโลก นอกจากนี้แล้วพฤติกรรมของคนเอเชียจะไม่เหมือนคนตะวันตก เพราะส่วนใหญ่แล้วคนแอเชียจะซื้อไว้เพื่อเก็บสะสม
" ประเทศที่กำลังมีปัญหา และกำลังจะขาดความน่าเชื่อถือในอีก 10 ปีข้างหน้า อย่างอเมริกาก็จะยังคงมีหนี้เยอะอยู่ ยุโรปเฉลี่ยหนี้อยู่ที่ 80% ญี่ปุ่นเองที่มีหนี้เกิน 100% ตอนนี้ไปที่ 200% เราเริ่มไม่มั่นใจ ผลที่ตามมาคือเราต้องหาอะไรที่อิงกับสินทรัพย์ถาวร เพราะปัจจุบันเงินก็มีความด้อยค่าลงด้วยและยิ่งเจอปัญหาเงินเฟ้อเข้ามา ค่าของเงินจะเหลือเพียงแค่ 3% แต่ทองคำมันไม่เคยด้อยค่าราคาในอีก 10 ปีข้างหน้าก็ยังคงจะขึ้นต่อไป "
ขณะเดียวกัน นายสุนิล แคชแยป Managing Director ,Head ScotiaMocatta and Foreign Exchange - Asia กล่าวว่า ดีมานด์และซัปไพร์ปัจจุบันไม่มีความสมดุลกัน ดีมานด์ในเอเชียขณะนี้มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ คาดว่า ทองคำยังเป็นสิ่งที่ต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"ในต่างประเทศมีภาระหนี้สินเยอะแยะเงินเฟ้อก็ต้องระวัง ซึ่งทองคำเป็นแอสเซทที่รักษาค่าของมันเองได้ ดังนั้นเราต้องมีการกระจ่ายการลงทุนในพอร์ต เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทาง แม้ว่าขณะนี้หุ้นจะอยู่ในช่วงขาขึ้นก็ตาม "
ด้านนายธนรัชต์ พุสวงศ์ กรรมการผู้จัการ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด กล่าวว่า ทำคำยังคงต้องมีในพอร์ตราคาของทองคำยังคงมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ และราคาก็ปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกันการลงทุนในต่างประเทศ อย่างประเทศเกิดใหม่ AEC จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ทองคำเองก็จะมีการขยายตัวไปทั่วโลก และเริ่มมีแหล่งลงทุนใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น คนที่ทำธุรกิจก็มีมากขึ้นด้วย