นายแพทย์ กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก หรือ MTS ได้ประเมินราคาทองคำปี 55 ว่า อยู่ที่ระดับ1,930 เหรียญ/ออนซ์หรือ 27,000 บาท เมื่อเทียบกับปี 54 ราคาทองคำจะอยู่ในระดับเดียวกัน โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-28ก.พ.ราคาได้เคลื่อนไหวอยู่ระดับ 1,550-1,792 เหรียญ/ออนซ์ แต่หลังวันที่ 29ก.พ.ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงถึง 160เหรียญหรือ 1,300บาท ซึ่งขณะนี้ราคาทองคำอยู่ในช่วงขาลงจากปัจจัยต่างๆที่เข้ามากดดันราคาทองคำ
โดยปัจจัยสำคัญที่เข้ามากดดันราคาทองคำได้แก่ถ้อยแถลงของประธานเฟดที่กล่าวถึงมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ(QE3)ว่าอาจจะไม่เกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่น จึงได้เทขายทองคำออกมาเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น ขณะที่การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในภาคต่างๆของสหรัฐฯก็มีแนวโน้มที่ดี รวมทั้งการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำของธนาคารกลางสหรัฐฯและปัญหาหนี้สินในยุโรปยังเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การประกาศเพิ่มภาษีของอินเดียอาจส่งผลให้ความต้องการในทองคำของอินเดียลดลงไปกว่า 30%
อย่างไรก็ตาม ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนมากกว่าสินทรัพย์หรือตราสารประเภทอื่น ๆ เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ โดยมีผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 10% ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน ขณะที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศยังให้ความสำคัญในการเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งดูจากตัวเลขการถือครองทองคำของแต่ละประเทศยังอยู่ในระดับต่ำทำให้เป็นโอกาศที่ดีในการลงทุนในทองคำ
" นักลงทุนที่ถือทองคำอยู่ในขณะนี้ อยากแนะนำให้เทขายทำกำไรในระยะสั้น ส่วนนักลงทุนที่มีความสนใจหรือรายใหม่ถือว่าเป็นโอกาศที่ดีในการเข้ามาซื้อเพื่อทำกำไรในระยะสั้นหรือกลาง ทั้งนี้ในช่วงระยะสั้นและกลางราคาทองคำยังอยู่ในขาลง แต่ถ้าระยะยาวหรือมากกว่า 3 เดือนราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นอยู่ " นายแพทย์ กฤชรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ได้กล่าวถึงการเปิดตัวนวัตถกรรมใหม่ "เอ็มทีเอส โกลด์ เน็ตเวิร์ค " ซึ่งเป็นระบบซื้อขายทองคำผ่านระบบออนไลน์โดยรวบรวมข้อมูลการลงทุนในทองคำและระบบบริหารการจัดการในการซื้อขายทองคำในระบบออนไลน์ โดยMTSใช้ระยะเวลาในการวางระบบ 2 ปี ด้วยเงินลงทุนต่อยอดจากระบบโครงข่ายเดิม มูลค่ากว่า 25ล้านบาทและตั้งเป้าขยายพันธมิตรร้านทองทั่วประเทศ จำนวน 20 แห่งภายในปีนี้
" ราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน และเงินดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนจำเป็นต้องมีความฉับไวในการตัดสินใจสำหรับการลงทุนในทองคำ " นายแพทย์ กฤชรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย
โดยปัจจัยสำคัญที่เข้ามากดดันราคาทองคำได้แก่ถ้อยแถลงของประธานเฟดที่กล่าวถึงมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ(QE3)ว่าอาจจะไม่เกิดขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่น จึงได้เทขายทองคำออกมาเพื่อเก็งกำไรในระยะสั้น ขณะที่การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในภาคต่างๆของสหรัฐฯก็มีแนวโน้มที่ดี รวมทั้งการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำของธนาคารกลางสหรัฐฯและปัญหาหนี้สินในยุโรปยังเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การประกาศเพิ่มภาษีของอินเดียอาจส่งผลให้ความต้องการในทองคำของอินเดียลดลงไปกว่า 30%
อย่างไรก็ตาม ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนมากกว่าสินทรัพย์หรือตราสารประเภทอื่น ๆ เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ โดยมีผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 10% ทำให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน ขณะที่ธนาคารกลางของแต่ละประเทศยังให้ความสำคัญในการเพิ่มสัดส่วนทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศ ซึ่งดูจากตัวเลขการถือครองทองคำของแต่ละประเทศยังอยู่ในระดับต่ำทำให้เป็นโอกาศที่ดีในการลงทุนในทองคำ
" นักลงทุนที่ถือทองคำอยู่ในขณะนี้ อยากแนะนำให้เทขายทำกำไรในระยะสั้น ส่วนนักลงทุนที่มีความสนใจหรือรายใหม่ถือว่าเป็นโอกาศที่ดีในการเข้ามาซื้อเพื่อทำกำไรในระยะสั้นหรือกลาง ทั้งนี้ในช่วงระยะสั้นและกลางราคาทองคำยังอยู่ในขาลง แต่ถ้าระยะยาวหรือมากกว่า 3 เดือนราคาทองคำยังเป็นขาขึ้นอยู่ " นายแพทย์ กฤชรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ได้กล่าวถึงการเปิดตัวนวัตถกรรมใหม่ "เอ็มทีเอส โกลด์ เน็ตเวิร์ค " ซึ่งเป็นระบบซื้อขายทองคำผ่านระบบออนไลน์โดยรวบรวมข้อมูลการลงทุนในทองคำและระบบบริหารการจัดการในการซื้อขายทองคำในระบบออนไลน์ โดยMTSใช้ระยะเวลาในการวางระบบ 2 ปี ด้วยเงินลงทุนต่อยอดจากระบบโครงข่ายเดิม มูลค่ากว่า 25ล้านบาทและตั้งเป้าขยายพันธมิตรร้านทองทั่วประเทศ จำนวน 20 แห่งภายในปีนี้
" ราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน และเงินดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนจำเป็นต้องมีความฉับไวในการตัดสินใจสำหรับการลงทุนในทองคำ " นายแพทย์ กฤชรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย